หุ้นไฟ (ฟ้า) กะพริบ.!

ช่วงปีหน้า “หุ้นไฟฟ้า” ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นไฟฟ้าแต่ละตัวที่พากันปรับลงมาลึกสุดใจแบบนี้..น่าจะเป็นโอกาสได้เช่นกัน..!!


กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติการเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 พร้อมให้สำนักงานกกพ.นำค่าเอฟทีประมาณการ และแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของกฟผ.ที่มีภาระต้นทุนคงค้างลดลงเหลือ 95,777 ล้านบาท (สิ้นสุด ส.ค. 66) ไปรับฟังความคิดเห็นกรณีต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์สำนักงานกกพ.(10-24 พ.ย.) โดยมีการแบ่งเป็น 3 กรณี…

กรณีที่ 1 (จ่ายคืนภาระต้นทุนค้างทั้งหมด) แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 จำนวน 64.18 สตางค์ต่อหน่วยและเงินเรียกเก็บเพื่อชำระภาระต้นทุนคงค้างกฟผ. 95,777 ล้านบาท

จัดเก็บแบบงวดเดียวรวมเท่ากับ 216.42 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.95 บาทต่อหน่วย 

กรณีที่ 2 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 1 ปี) แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 จำนวน 64.18 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อทยอยชำระภาระต้นทุนคงค้างกฟผ. 95,777 ล้านบาท

จัดแบ่งเป็น 3 งวด ๆ ละจำนวน 31,926 ล้านบาท รวมเท่ากับ 114.93 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพิ่มขึ้นเป็น 4.93 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 3 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 2 ปี) แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 จำนวน 64.18 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อทยอยชำระภาระต้นทุนคงค้างกฟผ. 95,777 ล้านบาท

จัดแบ่งเป็น 6 งวด ๆ ละจำนวน 15,963 ล้านบาท รวมเท่ากับ 89.55 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพิ่มขึ้นเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย

หากดูจาก 3 กรณีดังกล่าว “เชื่อหัวไอ้เรือง” ได้เลยว่าผลสำรวจความคิดเห็นที่จะออกมาส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเลือก “กรณีที่ 3” นั่นก็หมายถึง “ค่าไฟฟ้างวดถัดไป” (ม.ค.-เม.ย. 67) น่าจะอยู่ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย จากงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 66) ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย

นั่นหมายถึงค่าไฟฟ้า..จะปรับขึ้นจากปัจจุบัน 0.69 บาทต่อหน่วย แต่มันคงต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลอีกว่าจะให้ปรับขึ้นตามนี้เลยหรือไม่..แต่ดูรูปการณ์แล้วต้องปรับขึ้นบ้าง แม้อาจไม่ปรับขึ้นรวดเดียว 0.69 บาทต่อหน่วยเลยก็ตาม

หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงหุ้นโรงไฟฟ้า (ที่มี SPP) เริ่มจากบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ตามด้วยบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF

ที่ถูกกดดันจากราคาค่าไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ตลอดช่วงไตรมาส 4/66 ชนิดแบบเต็มไตรมาส น่าจะพอโล่งอกกันได้มากยิ่งขึ้น

แต่ว่ามันไม่จบตรง “การปรับขึ้นค่าไฟฟ้า” เพียงอย่างเดียว ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ดูเริ่มจะลดความผันผวนลงอย่างมีนัยสำคัญเห็นได้ชัดจากงบการเงินไตรมาส 3/66 ต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตลดลงเฉลี่ย 20-40% เลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวมกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ที่จะเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันช่วงเดือน เม.ย. 67

นั่นหมายถึงลดการพึ่งพา Spot LNG ที่เป็นหนึ่งในตัวการทำให้ “ค่าไฟแพง” อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เคยประสบพบเจอกันมาแล้ว

เมื่อดูปัจจัยดังกล่าว..ช่วงปีหน้า “หุ้นไฟฟ้า” ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นไฟฟ้าแต่ละตัวที่พากันปรับลงมาลึกสุดใจแบบนี้..น่าจะเป็นโอกาสได้เช่นกัน..!!

Back to top button