พาราสาวะถี
หลังจากที่ดึงจังหวะกันมาระยะหนึ่ง จนเกิดปฏิกิริยาขู่ปิดโรงงานน้ำตาลจากชาวไร่อ้อย ด้วยเหตุไม่พอใจที่กระทรวงพาณิชย์ โดย กกร.ได้ออกประกาศน้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม
หลังจากที่ดึงจังหวะกันมาระยะหนึ่ง จนเกิดปฏิกิริยาขู่ปิดโรงงานน้ำตาลจากชาวไร่อ้อย ด้วยเหตุไม่พอใจที่กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือ กกร. ได้ออกประกาศน้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ สอน. ได้ออกประกาศขึ้นราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน 4 บาทต่อกิโลกรัม จาก 19-20 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23-24 บาทต่อกิโลกรัม จน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ ต้องตั้งคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ขึ้นมาเพื่อหาข้อยุติ
ในที่สุดที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จึงได้ไฟเขียวให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาล 2 บาทต่อกิโลกรัม โดยเป็นการขึ้นในส่วนของต้นทุนเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อีก 2 บาทที่ขอขึ้นเพื่อจะใช้ในกองทุนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ได้รับการอนุมัติ โดยมีการมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกรรมการที่เกี่ยวข้องไปหารือกันว่า เรื่องนี้ไม่ควรจะให้ผู้บริโภครับผิดชอบ ต้องไปดูว่ากรณีนี้เกี่ยวพันกับใคร อย่างไร มีช่องทางในการดำเนินการจัดการอย่างไร
สำหรับท่าทีของชาวไร่อ้อย หลังรัฐบาลเคาะการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ แม้จะไม่ได้ตามข้อเรียกร้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการขึ้นราคา 2 บาทนั้น เป็นการปรับขึ้นราคาที่ส่งผลต่อการขายอ้อยของเกษตรกรโดยตรง และทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายอ้อยเพิ่มมากขึ้นประมาณตันละ 40 บาท ส่วนที่ยังไม่อนุมัติให้มีการปรับราคาขึ้นอีก 2 บาท ที่จะนำไปเข้ากองทุนดูแลสิ่งแวดล้อมและรักษาเสถียรภาพราคาอ้อยและน้ำตาลทราย ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องไปหาทางแก้ไขและช่วยเหลือต่อไป
ถือเป็นการหาทางลงที่น่าพอใจของทุกฝ่าย ทันทีที่มีมติ ครม.แล้ว กกร.ได้ออกประกาศลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทราย ให้จำหน่ายราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน แบ่งเป็น น้ำตาลทรายขาว 21 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 22 บาทต่อกิโลกรัม การแจ้งปริมาณน้ำตาลทราย และยกเลิกการควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งน้ำตาลทรายและคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งน้ำตาลทราย
จะว่าไปกระบวนการพิจารณาเรื่องของราคาน้ำตาลและการรับซื้ออ้อยนั้น เป็นกรณีเฉพาะที่ต้องเป็นผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงอย่างแท้จริง จึงจะเข้าใจสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ต้องยอมรับความจริงกันประการหนึ่งคือ ต้นทุนหลักในการปลูกอ้อยในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาก จากราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 44% เพราะเป็นช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันสูงขึ้นเฉลี่ย 39% จากผลกระทบสงครามเช่นกัน รวมถึงต้นทุนยาปราบศัตรูพืช ค่าขนส่ง และผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้ชาวไร่อ้อยต้องสูบน้ำใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น กลายเป็นต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำมันของเครื่องสูบน้ำ
แต่ภาระของรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้จบแค่ที่การออกประกาศโดย กกร.เท่านั้น ต้องไปติดตามต่อว่าผลจากการขึ้นราคาหน้าโรงงานนั้น จะทำให้มีการปรับขึ้นราคาในส่วนของการขายปลีกหรือไม่ สามารถที่จะควบคุมได้ไหม หากไม่ดำเนินการมันย่อมจะส่งผลต่อการเป็นข้ออ้างของพ่อค้าแม่ขายที่จะหาเหตุขึ้นราคาสินค้าที่มีส่วนผสมของน้ำตาล กลายเป็นภาระของผู้บริโภค ตรงนี้ต้องมีการตรวจสอบกันอย่างเคร่งครัด และเอาจริงเอาจัง การที่ต้นทุนชีวิตหรือค่าครองชีพสูงขึ้น มันย่อมเป็นภาระของประชาชน ซึ่งมันจะสวนทางกับการเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่
การที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ประชาชนย่อมไม่มีอารมณ์ที่อยากจะจับจ่ายใช้สอย ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเป้าหมายของรัฐบาลในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เรื่องเหล่านี้ เศรษฐา ทวีสิน รู้ดี จึงมีการจี้รัฐมนตรีของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เร่งมือทำงานเพื่อสร้างบรรยากาศให้ประชาชนเกิดการตื่นตัว รวมไปถึงการสร้างแรงจูงใจนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้ตัดสินใจเดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยมุ่งหวังว่าปลายปีต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า เม็ดเงินจะสะพัดทั้งจากการใช้จ่ายในประเทศและการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ประสากองแช่ง ทันทีทันใดที่เศรษฐาและคณะอ้างว่า “สื่อสารผิดพลาดคลาดเคลื่อน” จะถูกโหมกระหน่ำกระทืบซ้ำ เพื่อหวังจะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ประเด็นจะเชื้อเชิญตำรวจจีนมาลาดตระเวนในจังหวัดที่มีคนจีนมาเที่ยวกันจำนวนมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าป้องกันพวกจีนเทา สร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัยให้คนจีนที่ต้องการมาท่องเที่ยวและลงทุน ประมาณว่าเอาใจเต็มที่ ดูแลถึงขั้นระดับวีวีไอพี จนงานนี้ถูกวิจารณ์เละว่าเป็นการเชื้อเชิญต่างชาติมาล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย
จนเศรษฐาต้องให้สัมภาษณ์ข้ามทวีปยืนยันเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดแน่นอน ตนไม่ได้มีการสั่งการใด ๆ ในเรื่องนี้ พร้อมเรียกร้องด้วยว่า “ต้องให้ความเป็นธรรมกับผม ใครจะไปสั่ง ผมไม่เคยพูดว่าต้องเอาตำรวจจีนมากี่คน” ก่อนที่จะย้ำอีกว่า ไม่เคยมี ไม่เคยพูด ถามคนใกล้ชิดตนได้ว่าไม่เคยมี เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยเพราะมันไม่ใช่ เอาเป็นว่าจากที่มีแนวโน้มจะเดินตามรอยอิตาลี กลายเป็นตาลีตาเหลือกถอยกันเป็นแถว ถือเป็นบทเรียนสำคัญทั้งตัวนายกฯ และคณะทำงาน จะคิดและขยับเรื่องใด ต้องศึกษาให้รอบด้านและตกผลึกเสียก่อน
เหมือนกรณีดิจิทัลวอลเล็ตขนาดผ่านกระบวนการถกเถียงจนหาทางออกตามที่เศรษฐาแถลงไปแล้ว ยังกลายเป็นประเด็นขยายผลกันไปต่อเนื่องเรื่องของการกู้เงิน ทำได้ไม่ได้ เลขาฯ กฤษฎีกาไม่เห็นด้วย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอให้ทำแบบนี้จริงหรือไม่ ถึงขนาดเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายละเอียดของที่ประชุม เข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่และใหญ่ต้องให้โปร่งใสมากที่สุด เมื่อคิดว่าเลือกแนวทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายแล้ว ต้องอาศัยความกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
การสื่อสารภายในพรรคเพื่อไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีการใส่เกียร์ถอย ปมความเห็นของกฤษฎีกาเศรษฐาบอกว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีคำว่าอาจจะเตือน แต่จะมีแค่คำว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ขอให้รอแล้วกัน ส่วนรัฐบาลยืนยันเรื่องนี้จำเป็นและเร่งด่วน โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ได้ทำก็จะดูว่าสำเร็จ ไร้เรื่องทุจริตหรือไม่ เป็นผลบวกกับเพื่อไทยขนาดไหน ไม่ได้ทำก็ไม่เสียหาย เพราะถือว่าได้เดินหน้าตามที่เคยหาเสียงไว้แล้ว แต่ไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย