GTV ปลาเล็กเสร็จปลาใหญ่.!

ถ้าพูดถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ถือเป็นเมกะเทรนด์ เป็นสะพานสู่การเป็นองค์กร Net Zero


ถ้าพูดถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในประเทศไทย ถือเป็นเมกะเทรนด์ เป็นสะพานสู่การเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Net Zero ไว้คุยโม้โอ้อวด…อุ๊ย ต่อยอดสู่การขยายธุรกิจในต่างประเทศ เลยทำให้หลาย ๆ บริษัทพยายามแสวงหาโอกาสอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เป็นอีกธุรกิจที่แข่งขันกันสูง…

แน่นอนว่ารายใหญ่ ซึ่งมีสายป่านย้าวยาว ย่อมมีความพร้อมทั้งเงินลงทุนและคอนเนกชัน ก็จะได้เปรียบกว่ารายเล็กที่มีข้อจำกัดทั้งเงินทุนและคอนเนกชัน…ใครมีกำลังวังชาไม่เพียงพอ ก็ต้องหลีกทางให้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า ต้องถอนตัวออกจากสนามนี้อย่างไม่มีข้อแม้…ก็ไม่ต่างจากปลาเล็กถูกปลาใหญ่กลืนกินนั่นแหละ…

เห็นได้ชัดจากกรณีบริษัท กรีนเทค เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ GTV ที่มีความจำเป็นต้องขายโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 4 โครงการ ให้กับบริษัท บีเอสอี เพาเวอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG มูลค่ารวม 477.07 ล้านบาท

ธุรกรรมดังกล่าว จะประกอบด้วย 1)ไฟเขียวให้บริษัทลูกที่ชื่อ บริษัท พาราโบลิก โซลาร์ พาวเวอร์ จํากัด (PSP) ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท บีเอส โซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (BSE) ซึ่งประกอบกิจการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรศรีธาตุ จำกัด มีกำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัทลูก BCPG มูลค่า 148.50 ล้านบาท

2) GTV จะขายหุ้นทั้งหมดของ PSP ซึ่งประกอบกิจการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรวิเชียรบุรี จํากัด ตั้งอยู่ที่ 220 หมู่ 6 ต.พุขาม อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ กำลังการผลิต 1.75 เมกะวัตต์ และสหกรณ์การเกษตรกะทูน จํากัด ตั้งอยู่ที่ 353 หมู่ที่ 5 ต.กะทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 1.20 เมกะวัตต์ พ่วงด้วยหนี้สินและภาระดอกเบี้ยของ PSP ให้กับบริษัทลูก BCPG มูลค่า 119.73 ล้านบาท

และ 3) GTV จะขายทรัพย์สิน เช่น แผงโซลาร์ อาคาร และใบอนุญาต สัญญา สิทธิต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการประกอบกิจการโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร พ.ศ. 2560 สำหรับโครงการสหกรณ์ผู้ผลิตและผู้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อำเภอกระแสสินธุ์จํากัด ให้กับบริษัทย่อยที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ จากนั้นจะขายหุ้นทั้งหมดของบริษัทย่อยดังกล่าวให้กับบริษัทลูกของ BCPG มูลค่า 208.84 ล้านบาท

คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจอยู่ที่เหตุผลในการขายนี่แหละ…ซึ่ง GTV ระบุชัด “เป็นเพราะภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการเข้ามาของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ และมีอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งบริษัทไม่สามารถจะเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับการแข่งขันดังกล่าวทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค หรือนานาชาติได้

เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ทำให้บริษัทไม่สามารถปรับโครงสร้างการลงทุน หรือ refinance เพื่อขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมตามที่เคยวางแผนไว้ได้ ประกอบกับคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน การถือครองเงินสดน่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท รวมถึงเป็นการสร้างความคล่องตัวในการลงทุน

เอ๊ะ…ว่าแต่ขาใหญ่ในธุรกิจไฟฟ้าที่ GTV หมายถึงเป็นใครบ้างน้อ..? จะใช่คนที่เราคิดป๊ะเนี่ย…

ก็ชัดเจนว่า GTV สู้ในสนามนี้ไม่ไหวแล้ว…ก็เลยต้องร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า

แล้วนำเงินที่ได้จากการขายโรงไฟฟ้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสทางธุรกิจมากกว่า…ที่หมายตาไว้ก็คือ ธุรกิจที่เป็นเทคโนโลยีสีเขียว เช่น โครงการ Critical Minerals and metals เพื่อการปฏิวัติการผลิตพลังงานสะอาด การลงทุนสำหรับโซ่อุปทานสีเขียว, การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า, distributed energy solution, บล็อกเชน และคาร์บอนเครดิต รวมถึงนำไปชำระหนี้…

ก็น่าสนใจก้าวใหม่ของ GTV จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน..? เป็นช็อตที่ต้องติดตามกันต่อไป…

แต่บทสรุปของเรื่องนี้ ตอกย้ำว่าในโลกของธุรกิจก่อนจะเห็น “ปลาเล็กชนะปลาใหญ่” เกรงว่า “ปลาเล็กจะถูกปลาใหญ่กินเรียบ” เสียก่อนน่ะสิ..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button