TESG ‘อัศวินม้าขาว’ กอบกู้ตลาดหุ้น?

ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดที่ตกต่ำที่สุดในโลก ที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 5% หากนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ร่วงลงไปแล้ว 282.62 จุด


TESG ‘อัศวินม้าขาว’ กอบกู้ตลาดหุ้น?

ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดที่ตกต่ำที่สุดในโลก ที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 5% แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยหากนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ร่วงลงไปแล้ว 282.62 จุด จากระดับ 1,668.66 จุด (30 ธันวาคม 2565) มาอยู่ที่ 1,386.04  จุด (14 พฤศจิกายน 2566) หรือติดลบไปเกือบ 15%

แต่หากจะนับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” วันนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,615.82 จุด ถึงวันนี้ ลดไปแล้ว 229.78 จุด หรือลบไป 14.22%

ทำให้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เห็นภาพ “ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), “ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” นายกสมาคมวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และ “พรอนงค์ บุษราตระกูล” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่างจับมือกันออกมาเรียกความเชื่อมั่น แต่ก็ไม่สามารถฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยให้พุ่งกลับขึ้นไปได้

ดังนั้นในรอบสัปดาห์นี้ (13 พฤศจิกายน 2566) จึงได้เห็นภาพ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ต้องมานั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมหารือ เรื่อง “สภาวะตลาดหุ้น” โดยในที่ประชุมครั้งนี้มีปลัดกระทรวงการคลัง, เลขาธิการสำนักงานก.ล.ต. และกรรมการและผู้จัดการตลท. เข้าร่วม

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นจากบัญชาของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เศรษฐา ทวีสิน”  ที่แม้เจ้าตัวจะเดินทางไกลไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 30 (2023 APEC Economic Leaders’ Meeting) และร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12-19 พฤศจิกายน 2566 ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แต่ก็ยัง “สั่งการ” ให้การบ้านผู้เกี่ยวข้องต้องช่วยกันแก้ปัญหา

ในการประชุมรอบนี้ หากเอียงหูฟังดีดี น่าจะได้ยินเสียงถอนหายใจของนักลงทุนที่อาจจะผิดหวังบ้าง เพราะไม่ได้มีมาตรการพิเศษใด ๆ ที่จะหยุดความผันผวนและอ่อนแรงลงของตลาดหุ้นไทยออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

มีเพียงการยกเหตุผลว่า ความอ่อนล้าของตลาดหุ้นไทยจนเดินหน้าต่อไปไม่ไหวนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานที่สูงในปี 2565 และอีกส่วนเป็นข้อกังวลของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มีต่อปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการ ภาวะเศรษฐกิจประเทศ ตลอดจนข่าวลือเรื่องการทำ Naked Short Sell หรือการขายชอร์ตหุ้น โดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือรองรับการทำธุรกรรม

ข้อสรุปของการประชุมรอบนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากคำยืนยันว่าทั้งก.ล.ต.และตลท.มีมาตรการต่าง ๆ ที่ใช้ดูแลการขายชอร์ตดีอยู่แล้ว และจะยกระดับมาตรการควบคุม Naked Short Sell ให้มีความเข้มงวดมากขึ้นอีก ซึ่งผลตอบรับของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ติดลบตกลงไป 0.18%

ขณะที่ ในการประชุมเมื่อวานนี้ (14 พฤศจิกายน 2566) การหารือร่วมกันระหว่างผู้นำตลาดทุนไทยกับผู้แทนกระทรวงการคลัง ได้ข้อสรุปว่า ให้มีการจัดตั้ง ESG Fund ที่มีลักษณะการลงทุนระยะยาวคล้ายกับ LTF แต่จะเข้าลงทุนในหุ้น ESG เพราะเชื่อว่าจะช่วยหนุนตลาดทุนในระยะยาว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองทุนพยุงหุ้น

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ คือการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน Thailand ESG Fund หรือ TESG เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว โดยมีเป้าหมายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ ESG รวมไปถึงการลงทุนในตราสารหนี้

TESG สามารถลดหย่อยภาษีได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ใช้ระยะเวลาในการลงทุน 8 ปี คาดว่าจะเริ่มเปิดให้ลงทุนได้ในเดือนธันวาคมปี 2566 เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีในเดือนมีนาคมปี 2567 เบื้องต้นประเมินว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

กองทุน TESG นี้ เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่เพิ่มเติมจากเดิม ที่มี RMF และ SSF อยู่แล้ว โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวสามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 5 แสนบาท

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏภาพที่ชัดเจนว่า ทั้งรัฐบาลและผู้นำตลาดทุนต่างพยายามกอบกู้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นขึ้น ผ่านทั้งการให้ข้อมูลหวังสร้างความเชื่อมั่น ตลอดจนการเร่งมาตรการแก้หนี้ของภาคประชาชนครั้งใหญ่ การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ภายใต้เป้าหมายพยายามกระตุ้นเศรษกิจไทยให้เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี

ความพยามยามนี้เกิดขึ้นท่ามกลางมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่ประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทย ปี 2566 จะเติบโตระดับ 3% และปี 2567 จะขยายตัวที่ 3-4% ซึ่งตัวเลขนี้รวมนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว

ยังไม่มีมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์รายใดเชื่อว่าจีดีพีไทยจะพุ่งไปถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ เพราะมีปัจจัยที่น่ากังวลคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย เช่น ยุโรป ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีปัญหา รวมทั้งทั่วโลกยังเผชิญอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และปัญหาสงครามที่ยังคาดเดาจุดจบไม่ได้ ดังนั้นการประคองเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ที่ 3-4% ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายของรัฐบาลอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดหุ้นไทยเป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้นการจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อให้เกิดการลงทุนระยะยาว เม็ดเงินนี้จะถูกล็อกไว้ 8 ปี เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลมอบให้ ขณะเดียวกันก็จะมีเงินใหม่เข้ามาซื้อกองทุนต่อเนื่อง ก็น่าจะช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยไม่ให้ตกต่ำไปอีก

ยิ่งการเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ภายในเดือนธันวาคม 2566 แสดงว่าต้องการเห็นผลลัพธ์จากกองทุนนี้อย่างรวดเร็ว เม็ดเงินไหลเข้าจะมีผลผลักดันตลาดหุ้นไทยให้ “ตื่น” กลับมาคึกคักอีกครั้ง เท่ากับว่า TESG คือ “อัศวินขี่ม้าขาว” หมายถึงผู้ที่มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในยามคับขัน

แต่มีกระแสข่าวว่ากฎเกณฑ์ TESG ไม่ได้เป็นไปตามที่ฟากตลาดทุนขอไว้ ดังนั้นในทางปฏิบัติจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หากทุกอย่างเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็เท่ากับว่า TESG เป็นได้เพียง “อัศวินม้าไม้” นั่นหมายถึง สิ่งที่ดูยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงไม่มีพลังอำนาจใด ๆ เป็นแค่ของประดับธรรมดา ๆ นี่เอง

Back to top button