พาราสาวะถี

คนทำงานเป็น กับ เป็นแค่คนทำงาน มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กว่า 9 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปอย่างมาก เพราะได้แค่คนทำงาน ยิ่งเป็นงานด้านบริหารประเทศมันต้องอาศัยความรอบรู้ มีวิสัยทัศน์ สามารถแลกเปลี่ยน เชื้อเชิญนักลงทุนต่างชาติให้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน และทำการค้าขายกับประเทศไทย มันจึงจะทำให้เศรษฐกิจเกิดการตื่นตัว คึกคัก มีความหวัง ไม่ใช่ซังกะตาย มิหนำซ้ำ ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนานาประเทศอีก มันจึงไปกันใหญ่

เมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ประกาศวางมือไปแล้ว คงไม่ต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ ความบอบช้ำไม่ว่าจะในเรื่องใด ก็ปล่อยให้ทุกอย่างที่เห็นเป็นรูปรอยเป็นสิ่งประจานความเสียหายกันไปเอง ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบในแง่ส่วนตัว หรือพวกพ้องก็ไปเรียกร้องว่ากันตามกระบวนการ หน้าที่ของรัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวทำคือ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน การเดินทางไปต่างประเทศ ด้านหนึ่งด้วยวาระงานที่เป็นภาคบังคับ อีกด้านคือการทำหน้าที่เซลส์แมน ขายของเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว

การเดินทางไปประชุมเอเปคที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพใหญ่ของการประชุมนั่นเรื่องหนึ่ง การหารือทวิภาคีกับผู้นำระดับบิ๊กของโลก ไม่ว่าจะ โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ สี จิ้น ผิง ผู้นำจีน รวมไปถึงผู้นำแคนาดา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ล้วนแต่เป็นภาพชี้ให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริงของประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำแดนสยาม ตามครรลองที่ควรจะเป็น และสง่างามในแง่ของการพูดคุย หารือ

แต่สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือโอกาส การได้พบปะแลกเปลี่ยน และเชิญชวนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯให้มาลงทุนในประเทศไทย ตามที่เศรษฐาจะย้ำทุกเวทีที่ไปพูดคุยว่า “ประเทศไทยเปิดแล้ว เปิดสำหรับการลงทุน ไม่มีเวลาไหน ที่ดีเท่าเวลานี้ที่จะลงทุนในประเทศไทย” ภาพลักษณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนต่างรู้กันดีว่าก่อนหน้าที่จะมีรัฐบาลนี้มันได้หายไป ขณะเดียวกันก็จะเห็นได้ว่า 15 บริษัทชั้นนำของอเมริกาที่ได้พูดคุยนั้น มี 3 บริษัทที่ตกลงหรือปิดดีลในการมาลงทุนที่ไทยได้

ไม่ถือว่าน้อยสำหรับการทำหน้าที่เซลส์แมน เพราะ 3 บริษัทดังว่ามีมูลค่าลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท โดย AWS หรือ Amazon Web Services จะลงทุนตั้งดาต้า เซ็นเตอร์มูลค่า 1.9 แสนล้านบาท ส่วน กูเกิล และ ไมโครซอฟท์ จะลงทุนดาต้า เซ็นเตอร์ และร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นอกจากนั้น Western Digital ผู้ผลิต Hard Disk Drive ยักษ์ใหญ่ของโลกก็ได้ยืนยันจะขยายการผลิตชิ้นส่วนในไทยด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ภาคเอกชนเชื่อมือและไว้วางใจต่อการทำหน้าที่นายกฯ ของเศรษฐา

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันที่ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ จะสนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็นผลมาจากมองเห็นศักยภาพในความเป็นนักบริหารมืออาชีพของเศรษฐานั่นเอง ประเด็นสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล จึงอยู่ที่การบริหารจัดการทางการเมืองเป็นด้านหลักเสียมากกว่า ทั้งการเมืองในระบบรัฐสภา และการเมืองภายนอกจากพวกขาประจำที่ตั้งตัวค้านทุกเรื่อง ต้านทุกอย่างที่รัฐบาลจะขับเคลื่อน

อย่างไรก็ตาม ที่ทำให้เศรษฐาและพรรคเพื่อไทยสบายใจได้ น่าจะเป็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะภูมิใจไทย ซึ่งแสดงความชัดเจนต้องจับมือกันให้แน่นในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม เป็นการแก้โจทย์ที่ตรงกันกับทั้งของนายกฯ และ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งมั่นก้าวข้ามความขัดแย้ง แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง มิเช่นนั้น จะทำให้กระบวนการทำงานสะดุด ไม่สามารถแก้ไขหรือเดินหน้านโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่งได้แม้แต่เรื่องเดียว

กลไกสำคัญที่ระดับแกนนำผู้มีอำนาจตัดสินใจของพรรคร่วมรัฐบาลใช้ในการพูดคุยกัน เป็นเรื่องปัญหาของบ้านเมือง วางลำดับความสำคัญเพื่อกำหนดเป็นนโยบายร่วม และช่วยกันผลักดันทั้งในส่วนที่จะเป็นมติ ครม. และอาศัยเสียงสนับสนุนจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร บางเรื่องที่ต้องใช้การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ก็จะมีมือประสานสร้างความเข้าใจกับพวกลากตั้ง อันจะเห็นได้ว่ากระแสคัดค้านจากคนในสภาสูง นับวันจะเบาลง มีเพียงบางคนที่ต้องออกมาเพื่อรักษาพื้นที่สื่อสำหรับตัวเองไว้เท่านั้น

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเพื่อไทยเลือกที่จะให้คนของพรรคร่วม และนักวิชาการที่ดึงมาร่วมเป็นกรรมการ แสดงบทบาท เพื่อที่จะทำให้เห็นว่าเป็นกระบวนการของทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ใช่การตั้งธงโดยฝ่ายกุมอำนาจ ล่าสุด นิกร จำนง จากชาติไทยพัฒนาในฐานะโฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 มีการเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประชามติ มาตรา 13 ในการรื้อ 2 ด่านสำคัญ ที่อาจจะทำให้เกิดเดดล็อก แก้รัฐธรรมนูญได้ยาก

กรณีนี้ก็ได้รับเสียงหนุนจากพรรคก้าวไกล เพราะการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นตาม พ.ร.บ.ประชามติ อาจจะผ่านได้ยาก ทั้งจากคนที่ไม่เห็นด้วย และการรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ การที่ฝ่ายเห็นต่างมองเห็นปัญหาตรงกันถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่เหลือก็อยู่ที่กระบวนการเสนอเพื่อนำไปสู่การแก้ไข แต่เมื่อทั้งหมดขับเคลื่อนโดยกลไกของสภาฯ ไม่ว่า ครม.และฝ่ายค้านจะแยกกันเสนอข้อกฎหมาย แต่ปลายทางก็มีบทสรุปแนวทางเดียวกันคือ ปรับเพื่อทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญราบรื่นมากขึ้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าได้ช้าหรือเร็ว 24 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน น่าจะได้เห็นกันว่าจะเคาะแก้ไขส่วนใด หรือทำประชามติกี่ครั้ง ทั้งหมดทั้งมวล บทสรุปเรื่องทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เสี่ยอ้วนยืนยันแล้วว่า ​ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้น่าจะจบกระบวนการทุกอย่าง​ และสามารถรวบรวมข้อสรุปเสนอให้ ครม.พิจารณาภายในไตรมาสแรกของปีหน้า โดยย้ำว่าจะพยายามให้จบภายในเดือนมกราคม ดูตามหน้าเสื่อเวลานี้ไม่น่าจะมีอะไรต้องติดขัด