CV วิบากเพิ่มทุน.!?

ทันทีที่ CV ประกาศเพิ่มทุนครั้งมโหฬารจำนวน 3,840 ล้านหุ้น (หุ้นจดทะเบียนเดิม 1,280 ล้านหุ้น) ขายให้ทั้งผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP ที่ราคาหุ้นละ 1.00 บาท ก็ทำให้ราคาหุ้น CV ไหลเป็นโจ๊ก...


ทันทีที่บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ประกาศเพิ่มทุนครั้งมโหฬารจำนวน 3,840 ล้านหุ้น (หุ้นจดทะเบียนเดิม 1,280 ล้านหุ้น) ขายให้ทั้งผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP ที่ราคาหุ้นละ 1.00 บาท ก็ทำให้ราคาหุ้น CV ไหลเป็นโจ๊ก…จากเดิมเคยซื้อขายกันที่ 1 บาทเศษ มาวันนี้เหลือแค่เศษสตางค์เท่านั้น..!!

เรียกว่าจากหุ้นบาทเศษ กะพริบตาอีกทีกลายเป็นหุ้นเศษบาทไปเสียแล้ว…

ก็บอกแล้วไงว่า การเพิ่มทุนเป็นยาขมหม้อใหญ่ของนักลงทุน..!?

มิหนำซ้ำยังมาเจอเหตุการณ์ผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 1 “เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล” ซึ่งควบตำแหน่งซีอีโอ รินขายหุ้นอยู่เนือง ๆ ซ้ำเติมอีกดอก…เอาเป็นว่า ในรอบ 4 เดือนตั้งแต่ประกาศเพิ่มทุน (ส.ค.-พ.ย. 2566) เขาทำรายการขายหุ้นไปแล้ว 17 ครั้ง รวมเป็นจำนวน 120,378,000 หุ้น หรือคิดเป็น 9.40% ส่งผลให้ปัจจุบันเหลือถือหุ้น 253,188,900 หุ้น หรือคิดเป็น 19.78%

ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการขายหุ้นเพื่อหนีเพิ่มทุน RO อ๊ะป่าว..? อันนี้น่าคิด

แต่ผลพวงจากราคาหุ้นที่เละเป็นโจ๊ก ทำให้บอร์ด CV ต้องยกเลิกราคาเพิ่มทุนเดิมที่ 1.00 บาท แล้วกำหนดราคาใหม่เป็น 50 สตางค์แทน…นั่นหมายความว่า CV ก็จะได้เงินจากการเพิ่มทุนลดลงเช่นกัน

เลยเป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนวงเงินและวัตถุประสงค์ของการใช้เงินเพิ่มทุนใหม่ แบ่งเป็น 1)ซื้อหุ้น 20% ในบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจจัดการซากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ธุรกิจการถอดแยกชิ้นส่วน การถอดและการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุการใช้งาน (Dismantle Recycling) รวมทั้งการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (Solid recovered fuel : SRF) และธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ประเทศออสเตรเลีย จำนวน 1,040 ล้านบาท ภายในปี 2567-2568 โดยจะมีการเจรจากับคู่สัญญาเพื่อขยายระยะเวลาการชำระเงินค่าหุ้นให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะได้รับเงินเพิ่มทุน

2)เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่อง ซึ่งเดิมวางไว้ 500 ล้านบาท ปรับใหม่เป็น 300 ล้านบาท ภายในปี 2567–2568 ขณะที่ส่วนต่างจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานภายในกลุ่มบริษัท รวมถึงการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน

3)ใช้ชำระหนี้ เดิมตั้งไว้ 500 ล้านบาท ปรับลดเหลือ 200 ล้านบาท ภายในปี 2567-2568 ทำให้มีการชำระหนี้เงินกู้เฉพาะที่ครบตามสัญญาเท่านั้น จะไม่มีการชำระหนี้ก่อนกำหนด

และ 4)เป็นเงินทุนเพื่อรองรับการต่อยอดธุรกิจหลัก เดิมวางไว้ 2,056 ล้านบาท จะเหลือแค่ 380 ล้านบาท ภายในปี 2567-2569 ทำให้ต้องชะลอการลงทุนโครงการในอนาคตที่มีอยู่ในแผนงานในช่วง 2-3 ปี ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล และโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะ เป็นต้น

โอเค…แม้ CV จะมี 3 ขาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า…ขาแรก ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขาที่สอง ธุรกิจรับก่อสร้างโรงไฟฟ้า ส่วนอีกขา เป็นธุรกิจขายเชื้อเพลิงชีวมวล แต่แพลนธุรกิจใหม่ที่จะไปลงทุนในออสเตรเลีย ยังจับต้องไม่ได้..ไม่รู้จะดีจริงหรือเปล่า..?

ขณะที่ธุรกิจเดิม ก็ยังทรง ๆ ทรุด ๆ ดูได้จากผลประกอบการปีที่แล้ว มีกำไรติดปลายนวมแค่ 23.28 ล้านบาท จากรายได้รวม 1,926.22 ล้านบาท ส่วนงบงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 153.15 ล้านบาท จากรายได้รวม 876.45 ล้านบาท

แถมการเพิ่มทุน 2 เท่าตัวครั้งนี้ ยังถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าว่าจะไปชดเชยกับไดลูชันเอฟเฟกต์ที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่..? ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้..!!

ดูจากสถานการณ์แล้ว CV น่าจะว้าวุ่นแหละ…พอดูออก

ส่วนจะถึงขั้นเข้าตาจน…กลายเป็นวิบากกรรมเพิ่มทุนหรือเปล่า..? โปรดติดตามตอนต่อไป

…อิ อิ อิ…

Back to top button