โลว์เดิมเอาไม่อยู่ชัวร์!
ปิดท้ายสัปดาห์นี้ “โมนิก้า” มีความตั้งใจที่จะหาข้อมูลดี ๆ มาเม้าท์ให้นักลงทุนได้ชื่นใจกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีข้อแม้
ปิดท้ายสัปดาห์นี้ “โมนิก้า” มีความตั้งใจที่จะหาข้อมูลดี ๆ มาเม้าท์ให้นักลงทุนได้ชื่นใจกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีข้อแม้ เพราะสภาพเศรษฐกิจรอบด้านมันไม่มีอะไรที่ทำให้สบายใจเลยสักอย่าง แถมรัฐบาลก็มัวแต่งมโข่งอะไรก็ไม่รู้ (ทันทีที่ประกาศเลื่อนวันหยุดปีใหม่ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในหัวสมองมีอะไรอยู่บ้าง และเรื่องนี้จะถูกล้อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแน่ ๆ) พะย่ะค่ะ
ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นจะมีลักษณะทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ เพราะรัฐบาลไม่ได้เข้าใจสภาพเศรษฐกิจอย่างที่โม้ไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง และยังมีเผือกร้อนผู้ป่วยติดเตียงชั้น 14 คอยหลอกหลอนแบบนี้ “โมนิก้า” ถึงไม่เชื่อน้ำยาทีมเศรษฐกิจชุดนี้ แถมยังมีเรื่องขึ้นค่าไฟที่เตรียมจะสูบเงินออกจากกระเป๋าประชาชนตาดำ ๆ เข้ามาสำทับอีกดอก แล้วเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างไรล่ะคะ
ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลจากเครดิตบูโรมีการชี้ให้เห็นว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 66 มีหนี้เสียรถยนต์มีมากถึง 6.94 แสนบัญชี เพิ่มขึ้น 8.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนคิดเป็น 2.07 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20.9% ขณะเดียวกันเมื่อดูยอดขายรถกระบะในช่วง 10 เดือนของปีนี้ ก็มีจำนวนที่ลดลง 85,000 คัน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปถึงสิ้นปี 66 ก็จะกระทบยอดผลิตรถกระบะถึง 1 แสนคันเชียวนา!
งานนี้หากคิดกลับไปในมุมของหนี้เสีย ควบคู่กับปล่อยสินเชื่อ ก็จะเห็นว่า เม็ดเงินในระบบเศรฐกิจหายไปมหาศาล และประชาชนไม่มีกำลังซื้อเหมือนเมื่อก่อน “โมนิก้า” ถึงมองว่า เศรษฐกิจปีหน้าเผาจริงอย่างแน่นอน และการที่ดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,378.73 จุด ลบไป 10.82 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.16 หมื่นล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ทุกประการนะจะบอกให้
หากไม่รู้จะหาตำราเล่มไหนมาอ่าน “โมนิก้า” ขอแนะนำให้แฟน ๆ ลองไปอ่านตำราของ “จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์” ซึ่งผู้คนมักขนานนามว่า “เคนส์ไม่เคยตาย” และทุกครั้งที่รัฐบาลคิดจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็จะมีการอ้างอิงทฤษฎีดังกล่าวขึ้นมาประกบเป็นประจำ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวมีหลักคิดพื้นฐานอย่างน้อย 4 ข้อ คือ 1.การขจัดความไม่แน่นอน 2.การใช้ประโยชน์จากตัวคูณทวี 3.การมองแยกปัญหาระหว่างปัจเจกกับส่วนรวม และ 4.การการุณยฆาตเสือนอนกินนะจ๊ะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ขอยกข้อถกเถียงสำคัญข้อหนึ่ง ซึ่งเคยมีการพูดถึง “พฤติกรรมการลงทุน” ไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นเรื่องของปัจเจกชนที่จะตัดสินใจเพื่อแสวงหาประโยชน์สูงสุด แต่เคนส์กลับมองต่างไปอย่างสิ้นเชิง และมองว่า การออมและการลงทุนเป็นเรื่องของจิตวิทยาหมู่ (mass psychology) จึงต้องให้ความสนใจกับ “ความไม่แน่นอน” มากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ
โดยเฉพาะในมุมของเศรษฐศาสตร์มีการบัญญัติ ความไม่แน่นอน (uncertainty) แตกต่างจากความเสี่ยง (risk) ไว้น่าสนใจมาก ๆ และให้มุมมองความเสี่ยงหมายถึงสิ่งที่สามารถประเมินได้ และความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งทุกคนเห็นได้จากธุรกิจประกันที่นำหลักคิดตรงนี้มาใช้ จึงสามารถคำนวณเบี้ยประกันได้ตามความเสี่ยงของแต่ละคน ขณะที่ความไม่แน่นอนคือสถานการณ์ที่ไม่มีใครรู้จะเป็นเช่นไร และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบทั้งนั้น แต่เมื่อในภายภาคหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ นักลงทุนเลยไม่กล้าลงทุน และมีอาการตื่นตระหนกไม่ต่างจากคนทั่วไปนะตัวเอง
ไฮไลต์ของทฤษฎีดังกล่าวอยู่ตรงการลงทุนทั้งทางตรง และทางอ้อมที่ลดลง ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่เกิดขึ้นจริง หดตัวตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ระดับรายได้ของทั้งสังคมลดลงจนน่าเป็นห่วง “โมนิก้า” ถึงอยากถามบรรดาแฟนคลับว่า ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะนี้ไหม? และแน่ใจไหมว่า โลว์เดิมที่เคยลงมาทำไว้บริเวณ 1,366.19 จุดจะต้านทานแรงขายที่ออกมาได้นานแค่ไหน? เจ้าค่ะ
สรุปสุดท้ายแค่อยากจะบอกให้รู้ว่า เดี๊ยนรู้สึกเบื่อหน่ายที่เห็น “เสี่ยนิด” กับ “อุ๊งอิ๊ง” เอาแต่เดินสายโรดโชว์ และเอาแต่ด่าโชว์ตะพึดตะพือ จนสุดท้ายงานทางเศรษฐกิจก็ไม่เดินเสียทีแบบนี้ มันกลายเป็นช็อตที่ผู้คนในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนเซ็งเป็ดกันเป็นแถว พร้อมกับถามหาผลงานที่เคยฝอยไว้เยอะ มันมีเรื่องไหนที่พอจะเห็นเนื้อเห็นหนังบ้างไหม?..บรรดาขาเผือกอยากรู้นะออเจ้า