หมดข่าวร้ายแล้ว??พลวัต 2015
เปิดตลาดมาต้นสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะบอกว่า ตลาดจะผันผวนในเชิงบวก เพราะปัจจัยลบต่างๆ เช่น แรงฉุดหลักมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มปิโตรฯ ที่ถูกแรงขายทำกำไรออกมาสัปดาห์ก่อน รวมทั้งแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่ปัจจัยกดดันใหม่ ถือว่าตลาดรับรู้และซึมซับหมดแล้ว
เปิดตลาดมาต้นสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะบอกว่า ตลาดจะผันผวนในเชิงบวก เพราะปัจจัยลบต่างๆ เช่น แรงฉุดหลักมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มปิโตรฯ ที่ถูกแรงขายทำกำไรออกมาสัปดาห์ก่อน รวมทั้งแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่ปัจจัยกดดันใหม่ ถือว่าตลาดรับรู้และซึมซับหมดแล้ว
ในขณะที่ปัจจัยบวก ทำให้ขาลงมีขีดจำกัดมากกว่าขาขึ้น เริ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เกี่ยวกับการกระตุ้นการใช้สอยปลายปี แรงหนุนของ LTF/RMF และการทำ Window Dressing ในหุ้น Market Cap ใหญ่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เบี่ยงเบนจากนักวิเคราะห์ เพราะแม้ภาคเช้าและตลอดทั้งวัน ดัชนีตลาดจะพยายามบวก แต่ก็ไม่มีแรงส่งอะไร เนื่องจากมูลค่าซื้อขายหดตัวลง เหตุผลคือ การทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ได้จบลงไปแล้วในสัปดาห์ก่อน และกองทุน LTF/RMF ก็ซื้อไปจนหมดหน้าตักเรียบร้อยแล้ว ส่วนมาตรการกระตุ้นภาครัฐนั้น เข้าข่ายฝนตกไม่ทั่วฟ้า ช่วยไม่ได้มากนัก
ในขณะที่ข่าวร้ายใหม่ก็ยังถูกผลิตออกมาเป็นระยะๆ ก่อนสิ้นปี เพื่อส่งสัญญาณว่า อาจจะไม่ได้มีเรื่องน่ายินดีในปีหน้าอย่างที่คาดหวัง เริ่มต้นจากญี่ปุ่นที่ผลผลิตอุตสาหกรรมต่ำเกินคาดครั้งแรกในรอบหลายเดือน ตามมาด้วยข่าวร้ายจากจีนที่คาดว่าใน 5 ปี จะมีอัตราเติบโตของจีดีพีช้าลงต่อเนื่อง ตัวเลขส่งออกและนำเข้าไตรมาสสี่ของไทยต่ำกว่าคาด สะท้อนเศรษฐกิจโรยตัว และสุดท้ายราคาน้ำมันดิบปรับลงระลอกใหม่ หลังจากอิหร่านบอกว่าพร้อมจะเพิ่มการส่งออกในเดือนมกราคมอย่างจริงจัง ทั้งน้ำมันของอิหร่านและน้ำมันจากเอเชียกลาง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศหลังยกเลิกการคว่ำบาตร
ความคาดหวังในเชิงบวกว่า ก้นเหวของตลาดหุ้นโลกได้ผ่านไปแล้ว ได้รับการตอกย้ำอีกครั้งว่า เป็นแค่มายาภาพ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงก้นเหว
ข้อเท็จจริงของตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ที่พอร์ตโบรกเกอร์ รายย่อย และกองทุนต่างชาติยังเดินหน้าขายสุทธิ ตอกย้ำว่า นักลงทุนต่างชาติยังมองตลาดไทยเชิงลบ ตัวเลขขายสุทธิในเดือนธันวาคม มากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท และรวมทั้งปี ขายสุทธิไปแล้วกว่า 1.57 แสนล้านบาท รวมแล้ว 3 ปีนี้ ต่างชาติถอนตัวขายสุทธิไปแล้วกว่า 4.3 แสนล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวอาจจะไม่มีความหมายสำหรับอำนาจรัฐไทย ที่ยังคงเดินหน้าชูแนวทาง “ปฏิรูปก่อน ประชาธิปไตยรอได้” ต่อไปไม่สิ้นสุดอย่างน้อยอีก 2 ปี แต่สำหรับนักลงทุน อำนาจรัฐไทยไม่เคยเป็นความหวังที่พึ่งพาได้ มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ตัวเลขของสำนักข่าวต่างประเทศ บอกว่ายอดเงินขายสุทธิในตลาดหุ้นและตราสารหนี้รวมกันของต่างชาติในปี 2558 นี้ น่าจะอยู่ที่ 4.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.76 แสนล้านบาท แสดงว่ายังมีให้ขายอีกเยอะพอสมควร อย่าได้คิดว่าแรงขายต่างชาติจะหมดแล้วง่ายๆ ตามที่นักวิเคราะห์หลายสำนักประเมิน
คำปลอบใจของนักวิเคราะห์หรือโบรกเกอร์ต่างชาติที่บอกว่า ต่างชาติอาจจะกลับเข้ามาใหม่ในตลาดหุ้นและตลาดทุนไทย ประมาณกลางเดือนมีนาคม และโอกาสที่สิ้นปีหน้าดัชนีจะทะลุไปที่เหนือ 1,600 จุด ยังเป็นแค่ “บัลลังก์เมฆ”ที่เลื่อนลอย แต่อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณว่า ในช่วงเวลาของเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคมจะยังเป็นช่วงซบเซาของตลาดทุนไทย ที่ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะขาขึ้นมีขีดจำกัด และอาจจะต้องลงไปหาแนวรับใหม่เสียก่อน
โจทย์ใหญ่สำคัญคือ ในสองเดือนเศษข้างหน้านี้ ตลาดหุ้นจะร่วงลงไปแค่ไหน หรือขึ้นได้แค่ไหน ก่อนที่ต่างชาติจะกลับคืนมา เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงคาดเดาผลประกอบการงวดสิ้นปีของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลาย (ยกเว้นบางบริษัทที่มีงบไม่เหมือนบริษัททั่วไป)
มองในเชิงบวก เป็นจังหวะของการซื้อ แต่คำถามคือจะซื้อหุ้นตัวไหน เพราะหากเหลือบแลไปที่หุ้นกลุ่มต่างๆ จะพบว่า ผลประกอบการค่อนข้างมีปัญหา แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะถูกประเมินว่าจะเติบโตที่ระดับ 3.5-3.7% ซึ่งค่อนข้างต่ำ แม้จะดีกว่าปีนี้ที่ระดับ 2.8% และต่ำเมื่อเทียบกับชาติอาเซียนอย่าง เวียดนาม อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
หุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นกลุ่มที่มีคำถามเยอะว่าราคาที่ร่วงลงมามากกว่า 30% ต่ำกว่าพื้นฐานมากแค่ไหน เพราะตัวเลข NPLs และอัตราการเติบโตของสินเชื่อของหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่ชัดเจน
หุ้นกลุ่มสื่อสาร เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนสภาพการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นหลังการประมูลคลื่น 4G และตลาดจากนี้ไป จะเป็นตลาด “ทดแทนของเดิม” (replacement market) ที่เติบโตจากคุณภาพมากกว่าปริมาณเหมือนในอดีต
หุ้นกลุ่มก่อสร้าง น่าจะเป็นกลุ่มที่คึกคักพอสมควร เพราะงานประมูลเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก
หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับอิทธิพลจากงานภาครัฐเช่นกัน แต่จะมีลักษณะฝนตกไม่ทั่วฟ้า
หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก ที่เคยโดดเด่น เริ่มเผชิญกับ “การตรวจสอบความจริง” (reality check) ที่ละเอียดในเรื่องของการรับรู้รายได้ของบริษัทต่างๆ ว่าจะเข้าเป้ามากน้อยเพียงใด เสน่ห์ของหุ้นกลุ่มนี้จึงไม่แรงเหมือนเดิมอีก
ราคาน้ำมันที่ยังจะต่ำไปจนถึงสิ้นปี 2559 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ดีกว่ากันเพราะปริมาณล้นโลก เศรษฐจีนที่ยังต้องพึ่งพาการแทรกแซงของรัฐให้พ้นจากสภาพฮาร์ดแลนดิ้ง และความผันผวนของค่าเงินจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อาจจะมองข้ามได้เลย แม้ว่าอาจจะไม่ทำให้เกิดความเลวร้ายเสียทั้งหมดแต่ก็ถือเป็นปัจจัยถ่วงขาขึ้นของตลาดได้ง่าย
ในภาษาละตินนั้น มีคำหนึ่งที่มักจะถูกนำมาอธิบายช่วงเวลาอันเลวร้ายของสถานการณ์ในภาพรวมคือ Annus horribilis แปลว่า ช่วงปีอันเลวร้าย เพื่อสะท้อนอารมณ์ร่วมของคนในสังคม แม้คำดังกล่าวอาจจะไม่ได้สะท้อนความจริงเสียทั้งหมด แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่า จิตสำนึกร่วมของสังคมในช่วงเวลาดังกล่าวมีทิศทางใด
หวังว่าปี 2559 นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย และแฟนๆของข่าวหุ้นธุรกิจ จะไม่เผชิญกับคำว่า Annus horribilis เพียงแต่นักลงทุนจะต้องเข้าใจและเตือนตนเองว่า ต้องอยู่กับข้อเท็จจริง มากกว่าคำปลอบประโลมที่ไร้ความหมาย และไม่ตกอยู่ในความประมาท เพราะ “…that the worst is yet to come….” ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่