January effect 2016ลูบคมตลาดทุน
มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยบางเฉียบเลย
ธนะชัย ณ นคร
มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยบางเฉียบเลย
อย่างของวันศุกร์ที่ผ่านมา เหลือเพียง 16,654 ล้านบาท
ส่วนวานนี้ ปิดตลาดในช่วงเช้า ก็มีมูลค่าการซื้อขาย 8,009 ล้านบาท ส่วนตอนปิดตลาด อยู่ที่ประมาณ 2.75 หมื่นล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขการซื้อของนักลงทุนสถาบันในช่วงเดือนธันวาคมมาถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ธ.ค.
พบว่ามียอดกว่า 1.42 หมื่นล้านบาท ตัวเลขนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 9 ปี ที่ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท
หากเป็นแบบนี้ ใครที่หวังว่า จะมีแรงซื้อจากกองทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ รวมถึงการทำวินโดว์เดรสซิ่ง(Window Dressing)ในช่วง 3 วันสุดท้ายของปีนี้นั้น
ไม่น่าจะมีแล้วล่ะ หรือมีแต่อาจจะน้อยมาก เพราะซื้อไปเยอะแล้ว
และก็ไม่น่าจะมีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 วันสุดท้ายของปีนี้
แรงซื้อแผ่วเบา แผ่วเบา…..
สัญญาณแบบนี้มีโอกาสที่ในช่วงวันสุดท้ายของปี 2558 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปิดลบ และก็น่าจะลดลงจากปลายปี 2557 อย่างแน่นอน
สิ้นปี 2557 ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,497.67 จุด
หากนำมาคำนวณกับดัชนีหุ้นไทยที่ปิดภาคเช้าของวานนี้นั้น
ดัชนีปรับลงมา 210.57 จุด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ติดลบ 14%
แรงขายหลักๆ ก็มาจากกลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธนาคาร เพราะหุ้นขนาดใหญ่หลายๆ ตัว ราคาลงมามากกว่า 20%
หลายคนร้องไห้หนักมาก
มาถึงตรงนี้ ใครที่ชอบเล่นหุ้นใหญ่ หรือมีหุ้นใหญ่อยู่ในมือ ก็ต้องปรับพอร์ตกันใหม่
หันไปเล่นตัวขนาดกลางและเล็กมากขึ้น
อย่างของกองทุนต่างๆ เอง ก็ออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กค่อนข้างมาก เพราะให้ผลตอบแทนที่สวนกับทิศทางตลาดขาลง
หลายๆ บริษัทมีผลประกอบการที่ดี
รายได้และกำไรเติบโตในระดับ 2 หลักเลยล่ะ
แต่ผลประกอบการและราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมา ก็ไม่เพียงพอที่จะดันดัชนีได้ เพราะมาร์เก็ตแคปมันน้อย
ดูทรงตลาดหุ้นไทยแบบนี้แล้ว ปีนี้คงต้องปล่อยไป แล้วปี 2559 ค่อยมาว่ากันใหม่
ก่อนหน้านี้ ผมคุยกับนักวิเคราะห์ และผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ ต่างมองหุ้นไทยปี 2559 ไม่ค่อยดีนัก และมูลค่าการซื้อขายอาจน้อยกว่าปี 2558
ในปี 2558 คาดว่ามูลค่าการซื้อขายน่าจะอยู่ราวๆ 4.0-4.3 หมื่นล้านบาท
เพราะช่วงสิ้นไตรมาส 3/58 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท
เศรษฐกิจไทยปีหน้าต้องขึ้นอยู่กับโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถเดินไปตามโรดแมปได้จริง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
แต่ปัญหาคือว่า ทุกคนต่างไม่ค่อยมีความมั่นใจว่า จะเดินหน้าได้ตามกำหนดน่ะสิ
ปัญหา ขั้นตอนต่างๆ อะไรก็ไม่รู้เยอะเหลือเกิน
ตอนนี้ นักลงทุนเริ่มมองไปที่การเปิดตลาดหุ้นในช่วงต้นปี 2559
พร้อมกับจับตา January effect 2016
หรือการที่ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปค่อนข้างแรงในช่วงเดือนมกราคม หลังจากที่ในช่วงเดือนธันวาคมกองทุนอาจมีการขายหุ้นทำกำไรออกมา และมารับในเดือนมกราคม
ที่ผ่านมาเรามักเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้างครับ
กับ January effect
ส่วนปี 2559 หรือ 2016 ต่างก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะมี… หรืออย่างมากอาจเป็นเพียงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เท่านั้นแหละ
January effect มันก็อาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ขณะนั้นด้วยว่า เศรษฐกิจเป็นอย่างไร
การเมืองเป็นอย่างไร และอื่นๆ อีกมากมาย
ที่ผ่านมานักลงทุนโดนหลอกกันเยอะว่าจะเกิด January effect
ถูกดึงเข้ามาลงทุนกันเยอะ
แต่ผลผลคือ January (Un)effect