พาราสาวะถี

คำนิยามเศรษฐกิจปีหน้าของ เศรษฐา ทวีสิน คือ “หนักใจ” ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะมองจากมุมไหน หากเป็นมิติของนักลงทุน ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป คงมองไม่ต่างจากที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคิดและเห็นเป็นอย่างนั้น


คำนิยามเศรษฐกิจปีหน้าของ เศรษฐา ทวีสิน คือ “หนักใจ” ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะมองจากมุมไหน หากเป็นมิติของนักลงทุน ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป คงมองไม่ต่างจากที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคิดและเห็นเป็นอย่างนั้น เพราะมีหลายเรื่องที่ยังเป็นภาระหนักของรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบมานานเกือบ 10 ปี แต่หากเป็นฝ่ายการเมืองมองก็จะถูกลากไปเป็นประเด็น

หนีไม่พ้นที่จะกล่าวหา โจมตีความคิดของเศรษฐาที่กล้าบอก หนักใจ เพราะจะชี้ให้เห็นว่าประเทศกำลังวิกฤต อันจะเป็นความชอบธรรม และสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายที่ต่อต้านเรื่องการออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต นี่เป็นเรื่องของการเมือง ที่จะไม่ยอมอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ทุกอย่างจะต้องหาเหตุเพื่อเตะตัดขา ดักคอฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา หากว่ากันตามวิถีปกติคงไม่เกิดการรัฐประหารถึงสองครั้งสองครา ภายในระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 8 ปี

แน่นอนว่า ด้วยความเป็นตัวตนของเศรษฐา การทำหน้าที่มาจนถึงวันนี้ 3 เดือนที่ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยย่อมได้ใจจากฝ่ายสนับสนุน หรือแม้แต่พวกที่เป็นกองแช่งไม่ได้เชียร์ก็ยังแอบชื่นชมอยู่เล็ก ๆ ว่า บ้านเมืองน่าจะได้ตัวผู้นำถูกที่ถูกเวลา เพียงแต่ว่าหนทางที่จะเดินนั้น คงต้องเจอขวากหนามสารพัด การไปแตะเรื่องหมูเถื่อน พร้อมคำประกาศิตต้องสาวถึงตัวการใหญ่ และเดินหน้าสางหนี้นอกระบบย่อมเจอกับผู้ทรงอิทธิพลที่สูญเสียผลประโยชน์มหาศาล

ยังไม่นับรวมเป้าหมายทำสงครามยาเสพติด การเผชิญหน้ากับพวกสีดำ และสีเทา ย่อมเท่ากับประกาศเป็นศัตรูกับอริที่พร้อมจะตอบโต้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยกลวิธีใดก็ตาม จึงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับทีมงานที่จะต้องรอบคอบ รัดกุม เปิดเกมรุกต้องเด็ดขาด จัดการไม่ให้กล้าเหิมเกริมลุกขึ้นมาต่อกรได้ ถือเป็นความโชคดีที่การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้พวกชนชั้นอีลิทเห็นถึงความเดือดร้อนที่ตัวเองได้รับผลกระทบด้วยเหมือนกัน จึงออกตัวหนุนเต็มที่ เช่นเดียวกับที่บางพวกยังไงก็ได้รับอานิสงส์เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องสกัดรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ

ส่วนความเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค หากเป็นการเมืองยุคก่อน อาจมองว่าบรรดาพรรคร่วมย่อมจะมีพลังต่อรอง เล่นแง่ ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับพรรคแกนนำรัฐบาล สำหรับยุคนี้เมื่อมีโจทย์ใหญ่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และการต้องเร่งผลิตผลงานเพื่อสร้างเสถียรภาพร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะนายกฯ และพรรคแกนนำ แต่หมายถึงทุกพรรคที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะ หรือหาเหตุขัดขากันเอง ขณะที่ท่าทีของเศรษฐาซึ่งเห็นชัดว่าเป็นมิตรกับทุกฝ่าย แต่ก็มีความเด็ดขาดอยู่ในตัว

ยิ่งล่าสุด ความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์ การมี 21 เสียง สส.ในมือของหัวหน้าที่ชื่อ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ย่อมเป็นไม้เด็ดที่เพื่อไทยจะหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้แข็งข้อได้ อาจจะมองดูว่า 21 เสียงเทียบไม่ได้กับจำนวนเสียงของพรรคอันดับรองอย่างภูมิใจไทย แต่ประสานักการเมืองเขี้ยวลากดินอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล ย่อมรู้ดีว่า การมีเสียงเข้ามาเติมมันก็คือการขยับสับเปลี่ยนภายในรัฐบาล จากที่เคยได้ตามต้องการอาจต้องเปลี่ยนข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเศรษฐาเข้าใจบริบทการเมืองเป็นอย่างดี จึงย้ำกับนักข่าวเมื่อถูกถามถึงประเด็นปรับ ครม.ว่า 314 เสียงที่มีอยู่ปัจจุบันก็เยอะมากอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหาเสียงมาเพิ่ม พร้อมกับบอกด้วยว่าต้องให้เวลาหัวหน้าพรรคเก่าแก่ได้ทำงานก่อน เท่ากับมองเห็นว่าภายในประชาธิปัตย์สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องการไขก๊อกของบรรดาอดีตสมาชิกพรรคคนดัง รวมทั้ง 4 สส.ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนต่อด้วย จะจัดวางอนาคตของตัวเองอย่างไร

ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทย เพราะอย่างน้อยหากเกิดเหตุไม่คาดฝันทางการเมืองว่าด้วยเรื่องเสียงของรัฐบาล การที่เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในประชาธิปัตย์ ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแค่ตัวหัวหน้าและทีมบริหารเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงการทำงานทางการเมืองของคนกลุ่มใหม่ที่ไม่ได้ยึดติด มีอคติต้องเป็นศัตรูกันทางการเมืองตลอดไป เหมือนคนรุ่นเก่าบางราย บางพวกที่ยังฝังใจผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกับพรรคที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันมาหลายสิบปี

ดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายทอดไมตรีไว้ก่อนแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะต่อกันติดเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบัน เศรษฐาและคณะจะต้องช่วยกันผ่านอุปสรรคเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินได้คลอดเพื่อเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตตามที่ต้องการ ส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้ามาครึ่งค่อนปี จนจะชนเอากับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของทั้งสองสภา และให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพว่าฝ่ายนิติบัญญัติของพรรคร่วมรัฐบาลก็เข้มแข็งเช่นกัน 

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนี้อาจจะมีความโชคดีเสียด้วยซ้ำ เพราะทำไปทำมา ฝ่ายค้านที่จะทำงานจริงจังน่าจะมีแต่พรรคก้าวไกล ซึ่งคนของพรรคและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรค ไม่ค่อยจะเอื้อให้ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ จึงเกิดเป็นความพะว้าพะวง คนที่เป็น สส.จากที่เคยคิดว่าจะสู้กันแบบสุดตัว หลังจากได้เข้ามาทำหน้าที่และสัมผัสกับการเมืองแบบเต็มตัวแล้ว เริ่มจะลังเลแล้วว่า สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงาม และง่ายอย่างที่คิด

ยิ่งได้เจอกับนักการเมืองชั้นครูทั้งหลาย ยิ่งทำให้ได้เรียนรู้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม พรรคต้นสังกัดเองก็รู้ว่า สส.ของตัวเองจำนวนไม่น้อยได้อาศัยกระแสเพื่อหวังจะเข้าสภาทำมาหากิน ขนาดพวกส้มหล่นยุคอนาคตใหม่ที่ดูเหมือนจะซื่อใส ยังกลายเป็นงูเห่ากินกล้วยกันตัวกลม บรรดาผู้อยู่เบื้องหลังจำนวนไม่น้อยของพรรครุ่นใหม่ ต่างก็แสดงความหนักใจ การได้เป็น สส.หน้าใหม่อาจจะไม่ใช่ความหวังใหม่ผู้สนับสนุน เผลอ ๆ จะเป็นเวทีที่ทำให้หลายคนมีโอกาสเสียผู้เสียคนอีกต่างหาก

Back to top button