มนุษย์สู้หุ่นยนต์
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ไม่เหมือนเดิม ระบบนิเวศ หรือ Eco System เปลี่ยนไปอย่างมาก นักลงทุนระยะยาวหยุดเทรด หายหน้าไป เหลือแต่นักลงทุนระยะสั้นถึงสั้นมาก ๆ ดัชนีหลักทรัพย์เอาแต่ถดถอยลง เพราะแรงเทขาย “เหนือมนุษย์”
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ไม่เหมือนเดิม ระบบนิเวศหรือ Eco System เปลี่ยนไปอย่างมาก
นักลงทุนระยะยาวหยุดเทรด หายหน้าไป เหลือแต่นักลงทุนระยะสั้นถึงสั้นมาก ๆ ดัชนีหลักทรัพย์เอาแต่ถดถอยลง เพราะแรงเทขาย “เหนือมนุษย์”
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อตอนต้นปี 2566 อยู่ที่ 1,668 จุด แต่เดี๋ยวนี้ ที่นักลงทุนคาดหมายว่า ตลาดจะฟื้นเพราะโควิดผ่านไปแล้ว แต่กลับปรากฏว่า ดัชนีรูดเอา ๆ มาอยู่ที่ระดับ 1,370 จุด หายไปในราว 300 จุดหรือหายไปราว 17-18%
คงไม่ต้องสงสัยกันล่ะว่า นักลงทุนเกือบร้อยทั้งร้อยขาดทุนหรือกำไร ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยรายใหญ่ หรือสถาบัน ยกเว้นแต่นักลงทุนประเภทหุ่นยนต์เท่านั้น
ซึ่งก็อาจจะเรียกว่า “โปรแกรม เทรดดิ้ง” (Program Trading) หรือ High-Frequency Trading ระบบการส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง
เจ้าหุ่นยนต์หรือโรบอทตัวนี้ จะส่งคำสั่งซื้อขายทีละ 2-3-4-5 ช่องหรือมากกว่านั้นขึ้นไปด้วยความรวดเร็วสูง ขณะที่แรงคนคีย์คำสั่งซื้อขาย 1 ออเดอร์ ใช้เวลา 2 วิ แต่หุ่นยนต์วิเดียวส่งคำสั่งออกไปได้เป็น 10 ออเดอร์
หุ่นยนต์มันจะเอากำไรน้อย แค่ 2-3 ช่องมีกำไรก็ออก แต่จะได้วอลุ่มแต่ละช่องที่หนามาก มนุษย์จะซื้อก็ซื้อไม่ทันมัน หรือจะขาย ก็ขายไม่ทันมันอีก
“ขาใหญ่” รายหนึ่ง บอกว่า หุ้นใหญ่บางตัว กะทุ่มเงินซื้อเกือบหมดหน้าตัก หวังจะได้เห็นหุ้นขึ้นไปสัก 3 ช่อง แต่ก็ปรากฏว่า โดนเทขายใส่จาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่ไหนก็ไม่รู้ หุ้นยังอยู่คงที่ ราคาไม่ไปไหนเลย
เหมือนกับจะมีตาทิพย์ แยกแยะได้ว่าคำสั่งซื้อหรือขายรายไหน มาจากนักลงทุนรายใหญ่หรือรายย่อย
บางคนที่มีความสุขดีกับระบบเทรดทุกวันนี้ ก็บอกว่าไม่เป็นความจริงเสมอไปหรอก หุ่นยนต์อาจจะไปผิดทางเป็น “ขายหมู” หรือซื้อผิดตัวแล้วมันไม่ขึ้นก็เป็นได้ และอีกความเห็นหนึ่งก็คือ เรื่องของโปรแกรมเทรด เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ตลาดหุ้นไทยก็คงปฏิเสธไม่ได้
แต่ก็มีข้อแย้งว่า หุ่นยนต์เดี๋ยวนี้มีความเป็น AI อัจฉริยะที่ฉลาดและแม่นยำยิ่งขึ้น และมีระบบประมวลผลที่ดีกว่ามนุษย์แน่นอน สามารถจะเขียนโปรแกรมจับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ว่า มาจากนักลงทุนรายย่อย รายใหญ่สถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่ได้
ระบบโปรแกรม เทรดดิ้ง มีราคาแพง โบรกเกอร์ในเมืองไทยมีใช้น้อยรายมาก รายไหนมีใช้ก็จะสามารถกวาดส่วนแบ่งตลาดไปได้มากมาย แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนไร้เสถียรภาพ เพราะเจอกับระบบซื้อขาย 2-3 ช่องทำกำไรก็ออก
ในตลาด จึงเหลือแต่นักลงทุนระยะสั้น ที่มีหุ่นยนต์เป็นขาใหญ่ ส่วนแมงเม่า ยิ่งเล่น ยิ่งเหมือนบินเข้ากองไฟ เพราะซื้อก็ไม่ทันและขายก็ไม่ทันหุ่นยนต์
นักลงทุนรายใหญ่ขณะนี้ ที่เรียกขานกันว่า “เสี่ย” นั่น “เสี่ย” นี่ ประกาศวางมือหยุดเทรดกันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะสู้กับหุ่นยนต์ยังไงก็ไม่ชนะ นักลงทุน “ทรงคุณค่า” ก็หยุดเทรดตามไปด้วย
นักลงทุนประเภทสถาบัน บอกผลงานได้แค่ “ชนะตลาด” หรือ “ไม่ชนะตลาด” เท่านั้น ส่วนผลตอบแทนการลงทุนล้วนติดลบ
เราจะปล่อยให้ตลาดถูกครอบงำด้วยหุ่นยนต์ ที่ซื้อขายหุ้นระยะสั้นโดยเฉลี่ยกว่า 42% ของมูลค่าซื้อขายรวมเช่นนี้หรือ
ตลาดที่มีแต่นักลงทุนระยะสั้น ขาดนักลงทุนปานกลางและระยะยาว จะเป็นตลาดที่มีความมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างไร ไม่คิดจะออกคำสั่งห้ามเหมือนตลาดหุ้นเกาหลี ที่ห้ามชอร์ตเซลกันบ้างล่ะหรือ