โบรกฯ เผาบ้านตัวเอง

การทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของดัชนีตั้งแต่เปิดเทรด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,378.94 จุด บวกไป 20.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.08 หมื่นล้านบาท


การทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของดัชนีตั้งแต่เปิดเทรด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,378.94 จุด บวกไป 20.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.08 หมื่นล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่ทำให้นักลงทุนชื่นใจก็จริง แต่อย่าลืมว่าการขึ้นเที่ยวนี้เป็นการขึ้นตามดัชนีดาวโจนส์ โดยเอาประเด็นเฟดคงดอกเบี้ยมาเป็นตัวบิลต์อารมณ์ พร้อมกับส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยในอนาคตแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ส่งผลทางจิตวิทยาระยะสั้นเท่านั้นแหละค่ะ

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าตลาดหุ้นไทยเคยเจอเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง “โมนิก้า” ถึงสงสัยว่าการขึ้นเที่ยวนี้จะยืนระยะได้นานขนาดไหน? เพราะถ้าย้อนดูรอบก่อนที่ดัชนีลงมาทำโลว์บริเวณ 1,366.19 จุด (ปลายต.ค.) ต่อจากนั้นก็เด้งขึ้นอย่างร้อนแรง พร้อมกับขึ้นไปทำไฮที่ระดับ 1,431.51 จุด ซึ่งกินเวลาแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น ต่อจากนั้นก็เริ่มออกลูกสะเปะสะปะให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังประคองตัวรอดมาได้เจ้าค่ะ

ครั้นถึงช่วงกลางพ.ย. สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกลับย่ำแย่ลง ซึ่งเป็นผลมาจากข่าวร้ายผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และหนึ่งในประเด็นร้อนที่เป็นปัญหาก็คือ “เนกเก็ดชอร์ต” กับ “โรบอท” ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นไทยอย่างหนัก จนถึงขั้นทำให้นักลงทุนรายย่อยพังไม่เป็นท่ากันเป็นแถว “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่ผู้คนหันมาก่นด่า ตลท. กับ ก.ล.ต. มากขึ้นเรื่อย ๆ นะออเจ้า

ถึงกระนั้น “โมนิก้า” กลับมองต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะคนที่สมควรโดนแมงเม่าก่นด่ามากสุดก็คือ ASCO หรือ “สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย” เพราะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบสายงานหลัก 3 ด้านโดยตรง คือ สายงานพัฒนาธุรกิจ สถาบันฝึกอบรม และสายงานกำกับดูแลสมาชิก โดยสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตว่าโบรกเกอร์จะเดินไปทางไหนระหว่าง “ร่วง” หรือ “รุ่ง” ไงล่ะคะ

โดยเฉพาะการปล่อยให้โบรกเกอร์บางแห่งเอาเปรียบในการแข่งขัน และคนที่ต้องออกโรงกวดขันอย่างแข็งขันก็หนีไม่พ้น “พิเชษฐ” ซึ่งในตำแหน่งนายกสมาคม ก็สมควรออกมาให้ความกระจ่างกับทุกภาคส่วน ว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่? โดยเฉพาะการที่โบรกเกอร์บางแห่งตั้งเซิร์ฟเวอร์ใกล้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการส่งคำสั่งซื้อขายนั้น..มันมีผลจริงไหม?

ประกอบกับเรื่องข้างต้นเกี่ยวกับการใช้ “โรบอท” พอดี จึงเกิดคำถามว่า ป๋าโบ้จะปล่อยให้เกิดการเผาบ้านจริงเหรอ? และในฐานะคุณพี่สวมบทเป็นพ่อบ้านใหญ่ก็ควรดูแลโบรกเกอร์อย่างเท่าเทียม และหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังโบรกเกอร์ขนาดกลางขนาดเล็กตายเรียบ เพราะนักลงทุนจะหันไปใช้โรบอทมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้มาร์เก็ตติ้งตกงานกันอื้อซ่าพะย่ะค่ะ

ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ เสน่ห์ของหุ้นไทยก็จะมลายหายไปในพริบตา ซึ่งเป็นเรื่องที่เดี๊ยนรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยขึ้นชื่อว่ามีความเซ็กซี่กว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์! จู่ ๆ วันนี้จะเดินตามรอยตลาดหุ้นที่เทรดด้วยโรบอทเสียอย่างนั้น “โมนิก้า” มองว่าบ้องตื้นไปไหม? จึงอยากให้สมาคมหลักทรัพย์เป็นโต้โผใหญ่ในการสะสางปัญหานี้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียทีเจ้าค่ะ

ถ้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ขึ้นมาพูดก็คือ สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยวันนี้เหลือแค่ 30% ทั้งที่เมื่อก่อนมีสัดส่วนมากถึง 50% มันชี้ให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยถอยออกจากตลาดหุ้นไปเยอะมาก (อุตส่าห์ปั้นกันได้หลายล้านบัญชี) ขณะที่บางคนก็ติดดอยจนไม่มีเงินมาซื้อถัวเฉลี่ย โดยทั้งหมดก็มีต้นเหตุจากการมาของโรบอทที่โบรกเกอร์ใหญ่เอามาใช้ ซึ่งมันมีความได้เปรียบในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งคำสั่งซื้อขาย และการชอร์ตหุ้น..พูดได้ทันทีว่าโรบอทกินเรียบนะตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้สัดส่วนต่างชาติขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50% เพราะเล่นขึ้นหรือเล่นลงก็มีแต่เป๋าตุง! (ยิ่งเล่นมาก..ยิ่งรวยมาก) “โมนิก้า” ถึงอยากถามว่า ในเมื่อเห็นกันทนโท่ว่าหลายอย่างกำลังจะล่มสลาย แล้วผู้มีอำนาจไม่คิดจะยับยั้งเลยเหรอ! และเดี๊ยนก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าโบรกเกอร์จะเอาโรบอทมาทำไม? ในเมื่อการมาของโรบอทมันเหมือนเป็นการเผาบ้านตัวเอง..เหตุไฉนพวกพรี่พรี่ถึงยอมล่ะคะ

Back to top button