AH โตรับเทรนด์ EV
หนึ่งในผู้ที่จะได้รับประโยชน์งาน MOTOR EXPO คือ AH เนื่องจาก ขณะนี้ AH เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวของไทยที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV
คุณค่าบริษัท
จากยอดจองซื้อรถยนต์ภายในงาน MOTOR EXPO 2023 ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-11 ธ.ค. 2566 ที่สูงถึง 53,248 คัน ในจำนวนนี้เป็นยอดจองซื้อรถไฟฟ้าหรือรถ EV จากผู้ผลิตจีนถึง 5 ค่ายด้วยกันที่ติด TOP 10 โดย BYD หรือบีวายดี มียอดจองสูงถึง 5,455 คัน เป็นอันดับ 3 ส่วน AION หรือไอออน มียอดจองซื้อ 4,568 คัน เป็นอันดับ 4 ขณะที่ MG หรือเอ็มจี มียอดจองซื้อ 3,568 คัน เป็นอันดับ 5
ส่วน CHANGAN หรือฉางอัน มียอดจองซื้อ 3,549 คัน เป็นอันดับ 6 ฟาก GREAT WALL MOTOR (GWM) หรือเกรท วอลล์ มอเตอร์ มียอดจองซื้อ 3,524 คัน เป็นอันดับ 7 สะท้อนถึงอัตราการเติบโตของรถยนต์ EV ในประเทศไทย
หนึ่งในผู้ที่จะได้รับประโยชน์ดังกล่าวก็คือ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH เนื่องจาก 1) ขณะนี้ AH เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวของไทยที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV อยู่แล้ว เช่น การผลิตรถยนต์ Vinfest รุ่น VFB VF9 หรือ BMW iX, i7 เป็นต้น โดยในปี 2567 บริษัทจะมีคำสั่งประกอบและ OEM จากกลุ่มลูกค้า EV เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากผู้ผลิตจากจีน รวมถึงลูกค้าหลักอย่าง ISUZU ที่มีแผนจะผลิตรถกระบะไฟฟ้าปี 2568
และ 2) การปรับโชว์รูมดีลเลอร์รถจากค่าย Mazda มาเป็น Changan ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิต EV รายใหญ่ของจีน ที่ตั้งเป้าจะบุกตลาดไทยในปี 2567
ขณะที่ปี 2566 AH ตั้งเป้าจะมีรายได้จาก EV ไว้สูงกว่า 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 100% จากปีก่อน โดยผู้บริหารเชื่อว่าการเติบโตของบริษัทจะสูงกว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 2-4% ในปี 2567 จากคำสั่งซื้อใหม่ของลูกค้าในประเทศไทยและจีน รวมถึงคำสั่งซื้อใหม่จากลูกค้าที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์ในโปรตุเกส และคำสั่งซื้อใหม่จากผู้ผลิต EV
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เติบโต 10-15% จากปีก่อน ขณะที่คาดเติบโต 8% จากปีก่อน โดยที่รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 ทำได้ 76% ของคาดการณ์แล้ว จึงคงประมาณการโดยคาดรายได้ในไตรมาส 4/2566 เบื้องต้น 7.4 พันล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปี 2567 แม้จะมีความท้าทายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่ภาวะเศรษฐกิจเปราะบางมากขึ้น แต่ยังคงประมาณการโดยคาดรายได้ขยายตัว 5.4% จากปีก่อน เป็น 3.2 หมื่นล้านบาท จากคำสั่งซื้อที่มีต่อเนื่อง โดยเฉพาะชิ้นส่วนรถ EV ขณะเดียวกันจะเริ่มรับรู้รายได้จากการผลิตชิ้นส่วนระบบควบคุมไอเสียรถยนต์ของ JV คือ Purem AAPICO เต็มปี และเชื่อว่าจะพลิกเป็นกําไร จากปีก่อนที่ขาดทุน และคาดกําไรปกติเติบโต 8% จากปีก่อน เป็น 1.9 พันล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศปี 2567 จะยังเผชิญกําลังซื้อที่ไม่ได้สดใสนัก แต่อุปสงค์รถ EV ยังมีแนวโน้มที่ดีมาก ซึ่งเป็นบวกต่อ AH ที่มีการผลิตชิ้นส่วนรถ EV อยู่แล้ว
ฟากบล.กรุงศรี มองว่ากำไรของ AH จะเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม ทั้งในปี 2566 และปี 2567 ในขณะที่สัดสวน P/E ต่ำที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้ AH ยังมี upside อีก จากโรงงาน Avee และ Purem ที่เริ่มผลิตแบบ mass production (ซึ่งหากรวมเข้ามาในงบ จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 5.2%) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 2567 สูงถึงเกือบ 7%
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น AH ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 5.04 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 17.65 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาดหลายเท่า สอดคล้องกับ P/BV ที่ระดับ 0.89 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.31 เท่า โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 42.63 บาท จากราคาต่ำสุด 35.00 บาท และราคาสูงสุด 48.40 บาท