MAX ปิดฉากสิงห์คะนองหุ้น
นับถอยหลังกับ 7 วันอันตรายหุ้น MAX ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปล่อยผี...อุ๊ย ให้คนที่ติดหุ้นได้ออกของ จากการเปิดให้ซื้อขายชั่วคราว
นับถอยหลังกับ 7 วันอันตรายหุ้นบริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปล่อยผี…อุ๊ย ให้คนที่ติดหุ้นได้ออกของ จากการเปิดให้ซื้อขายชั่วคราวตั้งแต่วันนี้ (18 ธ.ค.) ไปจนถึงวันที่ 26 ธ.ค. 2566
โดยมีเงื่อนไขให้ซื้อขายด้วยเงินสด หรือบัญชี Cash Balance เท่านั้น พร้อมจะขึ้นเครื่องหมาย NC กำกับ เพื่อเตือนนักลงทุนให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยวันแรก (10 ต.ค.) ที่เปิดซื้อขาย ไม่กำหนด Ceiling & Floor และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่นำหุ้น MAX มารวมในการคำนวณดัชนีราคา SET Index…
ก็คงเป็นช่วงเวลา 7 วันอันตรายที่มีการเทรดกันไฟแลบ เพราะคนในที่อยากออก (ผู้ถือหุ้นรายย่อย 14,750 คน) จะได้ขายทิ้ง ส่วนคนนอกที่อยากเข้า ก็คงมาซื้อเก็งกำไรกันอุตลุด…แต่ระวังเข้าแล้วจะออกไม่ได้นะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน..!!
ขณะที่ย้อนไปดูวีรกรรมของหุ้นตัวนี้ ต้องบอกว่าฉาวโฉ่ มีเซียนดัง เซียนดับ นักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยมาเกี่ยวข้องเยอะ ไล่กันไม่หวาดไม่ไหวหรอก เป็นหุ้นที่ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายกันเกลื่อน เคยเป็นหุ้นขวัญใจสายซิ่ง (นักเก็งกำไร)…โดย MAX เป็นร่างใหม่ของบริษัท อะโกร อินดัสเตรียล แมชชีนเนอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ AMAC ซึ่งเข้ามาป่วนตลาดฯ ตั้งแต่ปี 2539…
ตอนนั้น AMAC มาด้วยสตอรี่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก หรือรถไถนา…หลายคนคงจำกันได้ กับโฆษณา สิงห์คะนองนา เครื่องยนต์ดีเซล Mitsubishi “ทน แรง…สะใจ” และประโยคที่ว่า “สงสัยท่านรองจะถูกยิง เรียกสิงห์คะนองนา…รถไถนามิตซูบิชิ” ซึ่งตอนแรกธุรกิจก็เหมือนจะไปได้ดี เรียกแขก (นักลงทุน) ให้เข้ามาเก็งกำไรอย่างล้นหลาม แต่สุดท้ายก็สู้เจ้าใหญ่อย่างคูโบต้าไม่ไหว ก็เจ๊งไปตามระเบียบ ต้องปิดกิจการในส่วนนี้ไปตั้งแต่ปี 2553
ต่อมา AMAC ก็แปลงร่างมาเป็น MAX แล้วหันมาทำธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก และเหล็กแปรรูปทุกชนิด รวมทั้งเข้าไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการสนามกอล์ฟ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม และธุรกิจพลังงานทดแทนจนถึงปัจจุบัน
นอกจากปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจแล้ว ในแง่ของโครงสร้างผู้ถือหุ้นก็เปลี่ยนมานับครั้งไม่ถ้วน เท่าที่จำได้ก็มี “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA (แต่ตอนนั้น SA ยังไม่ได้เข้าตลาดฯ) เคยมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ MAX อยู่หลายปี ก่อนจะขายออกไป ในระหว่างนั้นก็มีการฟ้องร้องเกิดคดีความมากมาย คงไม่ต้องสาวไส้หรอกนะ หลายคนน่าจะรู้ไส้รู้พุงกันดี กระทั่งล่าสุด MAX ก็ตกมาอยู่ในมือของ “ศิริเพ็ญ รามนุช” อย่างที่รู้ ๆ กัน
แต่ระหว่างทางก็มีนักลงทุนที่เจ๊งกับหุ้นตัวนี้เยอะ ส่วนที่ร่ำรวยก็มีมากโข เรียกว่าทั้งทำให้คนเป็นเศรษฐี ขณะเดียวกันก็กลายเป็นยาจกจากหุ้นตัวนี้ เพราะถูกหยิบขึ้นมาเก็งกำไรเป็นพัก ๆ ลากขึ้นไป แล้วก็สาดทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย จนทำให้มีคนติดหุ้นเป็นจำนวนมาก
แถมถ้าไปดูผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา…ดูเหมือน MAX จะเป็นบริษัทที่แสวงหารายได้ แต่ไม่แสวงหากำไรไปแล้วมั้ง..? เพราะอยู่ในภาวะขาดทุนเรื้อรังมานานหลายปี อย่างปี 2562 มีรายได้รวม 1,513 ล้านบาท ขาดทุน 133 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้รวม 1,359 ล้านบาท ขาดทุน 396 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวมเหลือแค่ 47 ล้านบาท ขาดทุน 54 ล้านบาท และปี 2565 มีรายได้รวม 44 ล้านบาท ขาดทุน 55 ล้านบาท ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 51 ล้านบาท ขาดทุน 28 ล้านบาท
จนล่าสุดมีตัวเลขขาดทุนยังไม่ได้จัดสรรปาไป 1,088 ล้านบาทแล้ว…ดูไม่จืดจริง ๆ
จากงบการเงินที่มีปัญหา ก็นำมาสู่เหตุแห่งการเพิกถอน MAX ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป
เป็นการ “ปิดฉาก MAX สิงห์คะนองหุ้น” ที่เคยสร้างบาดแผลให้กับตลาดทุนอย่างถาวรสักที..!!
…อิ อิ อิ…