ช่วงโค้งสุดท้ายของปี…SET มีโอกาสฟื้นตัว
สัญญาณจากการประชุม FOMC ครั้งนี้ คือ การทำ Fed Pivot หรือปรับทิศนโยบายการเงิน ทั้งในแง่การคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง
InnovestX มองว่า สัญญาณจากการประชุม FOMC ครั้งนี้ คือ การทำ Fed Pivot หรือปรับทิศนโยบายการเงิน ทั้งในแง่การคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง เงินเฟ้อที่ลดลงรุนแรงขึ้น ทำให้ Fed สามารถลดดอกเบี้ยได้มากขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่า Policy statement ครั้งนี้ too good to be true โดยแม้ว่าเศรษฐกิจจะยังดูแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง แต่ InnovestX มองว่าในระยะต่อไป เศรษฐกิจจะเริ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการบริโภค ภาคบริการ รวมถึงตลาดแรงงาน โดยการจ้างงานเดือนล่าสุด แม้ปรับตัวดีเกินคาด แต่ก็เป็นเพราะ การกลับมาทำงานของแรงงานภาคยานยนต์หลังการประท้วงสิ้นสุดลง
ขณะที่ภาคสาธารณสุขและรัฐบาลจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่ภาคค้าปลีกและการจ้างงานชั่วคราวลดลง นอกจากนั้น ตำแหน่งงานที่เปิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อผู้ว่างงานเหลือแค่ประมาณ 1.2 เท่า จากประมาณ 2.0 เท่าเมื่อปีก่อน บ่งชี้ว่านายจ้างเริ่มจะปรับลดคนงานมากขึ้นหากเศรษฐกิจมีปัญหา นอกจากนั้น เงินเฟ้อน่าจะลดลงได้ยากมากขึ้น โดยเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน พ.ย. นั้น แม้ว่าจะลดลงต่อเนื่อง แต่หากพิจารณาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนพบว่าเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากนั้น ในองค์ประกอบเงินเฟ้อยังพบว่าเงินเฟ้อฝั่ง Demand side (ค่าเช่าและค่าจ้าง) ลดลงได้ยากมากขึ้น โดยอยู่ที่ประมาณ 2.5% ในเงินเฟ้อทั่วไปที่ 3.1% ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ อาจทำให้ Fed ต้องกลับมาส่งสัญญาณ Higher for long อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ตลาดที่ร้อนแรง ณ ขณะนี้อาจมีปัญหาในระยะต่อไปได้
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า ช่วงสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง จากมุมมอง Fed ที่ Dovish มากขึ้น (ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด และ Dot Plot บ่งชี้ดอกเบี้ยจะลดลง 75 bps มากกว่ารอบก่อนที่ 50 bps ขณะที่ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 1.4% ในปี 2567) และอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนกลุ่มไปยังกลุ่มที่ยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า ซึ่งอาจส่งผลบวกมายังตลาดหุ้นไทย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” หุ้นที่มีโอกาสได้ผลบวกจากกองทุนดังกล่าว ดังนี้
1)หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ 1) ได้ ESG Rating ตั้งแต่ “A”-“AAA” และ ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก OR, HMPRO, AOT หรือ 2) ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง และคาดให้ Yield สูงกว่าปีละ 5% เลือก PTT, KTB
2)นักลงทุนระยะยาวแนะนำที่ต้องการลงทุนแบบ Dollar-Cost-Average (DCA) หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมากและราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
3)10 Top Picks in Yearbook 2024 ซึ่งเน้นหุ้นที่คาดเติบโตได้ดี อีกทั้งหวังได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนใหม่ ได้แก่ AMATA, BBL, BEM, BDMS, CPALL, CRC, GULF, OR, SCC และ SCGP (ทั้งนี้นักลงทุนสามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน Special Report : Yearbook 2024 ซึ่งมาด้วยแนวคิด “A Year of Value Investing” เพื่อสื่อว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่มาก ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว)