พาราสาวะถี
กลับจากญี่ปุ่นมาแล้ว ร่วมประชุม ครม.ช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (19 ธันวาคม) หลังจากนั้นตั้งแต่บ่ายโมงของวันเดียวกันไปถึงเที่ยงวันที่ 21 ธันวาคม เศรษฐา ทวีสิน ได้ยื่นจดหมายลาพักผ่อน แว่วว่าจะไปชาร์ตแบตเตอรี่กับครอบครัวที่ภูเก็ต
กลับจากญี่ปุ่นมาแล้ว ร่วมประชุม ครม.ช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (19 ธันวาคม) หลังจากนั้นตั้งแต่บ่ายโมงของวันเดียวกันไปถึงเที่ยงวันที่ 21 ธันวาคม เศรษฐา ทวีสิน ได้ยื่นจดหมายลาพักผ่อน แว่วว่าจะไปชาร์ตแบตเตอรี่กับครอบครัวที่ภูเก็ต หลังจากโหมงานหนักมาตลอด 3 เดือนภายใต้หัวโขนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จังหวะนี้ก็จะเป็นเวทีของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะได้จัดการปัญหาหลังจากเปิดสมัยประชุมมายังไม่ครบสัปดาห์ดี ก็เกิดปัญหาสภาล่มให้อับอายขายขี้หน้า
ไม่มีเหตุให้ต้องแก้ตัวใด ๆ สำหรับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะเพื่อไทยในฐานะแกนนำ เพราะปลายสมัยรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็เกิดปัญหาเดียวกันนี้ โดยพรรคนายใหญ่ในฐานะแกนนำฝ่ายค้านเวลานั้นยืนยันว่าหน้าที่ในการบริหารจัดการองค์ประชุมเป็นเรื่องของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของ อดิศร เพียงเกษ ประธานวิปรัฐบาลที่จะต้องแสดงศักยภาพในการบริหารจัดงาน เพราะโม้ไว้เยอะ ตำแหน่งนี้เทียบเท่ารองนายกฯ หากต้องการรักษาหน้าทั้งของพรรคร่วมและรัฐบาลต้องทำงานให้เป็น ไม่ใช่แค่ราคาคุย
เรื่องการตอบโต้ไปมาระหว่างนักพูดประจำพรรคกับ สส.หน้าใหม่ของพรรคก้าวไกล แม้จะเป็นมวยคนละรุ่น แต่สะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะ เมื่อฝ่ายหนึ่งยืนยันหลักการ จับเอาสิ่งที่พรรคที่สลับขั้วไปแล้วเคยพูดไว้มาจี้ใจดำ ความพยายามที่จะเอาชนะคะคานมันจึงกลายเป็นเรื่องสีข้างเข้าถู อย่าลืมว่า ทางข้างหน้าสำหรับงานของสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่จ่อคิวจะเข้าสู่การพิจารณารอมร่อ แล้วถ้าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทผ่านความเห็นชอบจากกฤษฎีกา ถือเป็นงานช้างทั้งนั้น
หรือจะใช้การล่มของสภารายสัปดาห์เป็นข้ออ้างในการสร้างมูลค่าเมื่อถึงเวลาพิจารณากฎหมายสำคัญ หากเป็นเช่นนั้นถือเป็นวิธีการโคตรโบราณ เหนือสิ่งอื่นใด หากเกิดสภาพสภาล่มทุกสัปดาห์ ความขยันของเศรษฐาและคนในฝ่ายบริหารก็เปล่าประโยชน์ เพราะการเลือกตั้งประชาชนคนหย่อนบัตรไม่ได้ดูแค่ผลงานของรัฐบาลประกอบเท่านั้น แต่จะใช้ผลของการทำงานในสภาของท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายมาพิจารณาร่วมด้วย ถ้าเช่นนั้นที่คิดว่าพลิกขั้วแล้วสร้างผลงาน หวังดึงคะแนนนิยมกลับน่าจะเป็นเรื่องยาก
ปมการถูก กกต.สั่งดำเนินคดีอาญาในฐานความผิดมาตรา 70 และ 79 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 ของ พัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย จากกรณีที่ไปโพสต์ภาพปราศรัยหาเสียงครั้งสุดท้ายของ แพทองธาร ชินวัตร หลังหกโมงเย็นของวันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นข้อห้ามนั้น ข้ออ้างว่าพลั้งเผลอสำหรับคนที่ผ่านสนามเลือกตั้งมาแล้ว ฟังไม่ขึ้นอย่างที่ กกต.ปัดตก ส่วนโทษที่จะได้รับจะสะเทือนถึงเก้าอี้หรือไม่ ต้องไปว่าตามกระบวนการ
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้หลายมุมมองภายในพรรคเดียวกันสะท้อนว่า เป็นเรื่องของเจตนาที่จะเอาใจ แม้จะเป็นการท้าทายและรู้ตัวว่าจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ สส.รายดังกล่าวถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์และทำมาหากินกับคนนอกพรรค ที่เป็นระดับแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แปรสภาพกลายมาเป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงพรรคอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าผลของคดีจะไม่กระทบต่อพรรค แต่เริ่มเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่าการขยับขององค์กรที่บริหารจัดการเลือกตั้ง น่าจะมีบางเรื่องที่สุดท้ายต้องวกมาเกี่ยวพันกับพรรคแกนนำรัฐบาลจนได้
หลังการเข้ามาเป็นผู้นำพรรคของลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าจะทำให้กระบวนการบริหารจัดการภายในพรรคแข็งแรง และเป็นปึกแผ่นมากขึ้น ทำไปทำมา กลายเป็นว่า กำลังเกิดปัญหาของพวกที่พยายามแบ่งชนชั้นภายในพรรค สส.ต่างจังหวัดที่พรรษาทางการเมืองยังน้อย ถูกมองว่าเป็นแค่มดงานที่ต้องรับบัญชาจากพรรคไปบริหารจัดการ ส่วนพวกอาวุโสและอยู่ใกล้นาย เอาแต่เสนอหน้าสอพลอ ขอให้ปรากฏภาพเป็นคนใกล้ชิดลูกสาวนาย นี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สภาล่ม
ประสาคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจมาทำงาน และเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของนักเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน จึงสั่งการผ่านกรรมการบริหารพรรคที่เป็นเหมือนคนรู้ใจทั้งผู้เป็นพ่อและลูก ให้เร่งสื่อสารกับบรรดาพวกประจบแต่ไม่ทำงานอย่าหาทำ รวมทั้งการสัมมนาที่โคราชที่ผ่านมา ก็ได้มอบหมายให้ สส.ทำหน้าที่ในสภาอย่างแข็งขัน และให้ลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อดูแลฐานเสียงให้แข็งแรง ปัจจัยการดูแลไม่ต้องห่วง การได้เข้ามากุมอำนาจรัฐยิ่งทำให้น้ำเลี้ยงไม่ขาดสาย ส่วนปัญหาก๊ก มุ้งต่าง ๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจกันได้ ไม่แบ่งแยกรุนแรงเหมือนในอดีต
สิ่งสำคัญการมีนายกฯ ที่ไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรค ทำให้การบริหารจัดการภายในรัฐบาลไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงโควตาของกลุ่ม ก๊วนภายในพรรค บรรดาแกนนำทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะใช้เสียงของ สส.มาเป็นเครื่องต่อรองได้ มากไปกว่านั้น การจัดสรรเก้าอี้ก็เลือกที่จะจัดวางคนซึ่งทำงานร่วมกับเศรษฐาได้ในลักษณะมองตารู้ใจ รัฐมนตรีหลายรายเมื่อได้รับคำบัญชาต่างก็ทำการบ้านเตรียมรับงานเป็นอย่างดี จึงทำให้ดูว่ากระทรวงสำคัญทั้งที่ทำงานกันมาแค่ 3 เดือน เหมือนทำกันมานานงานเดินต่อได้ไม่สะดุด
แม้จะมีบางกระทรวงที่คนของพรรคกลายเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม ก็ถูกกระตุ้นโดยเศรษฐาจากการเรียกประชุมเสนาบดีเพื่อไทยแทบจะทุกครั้งหลังเลิก ครม. อีกด้านเหมือนเป็นการเตือนใครไร้ผลงาน ประเมินแล้วไม่ผ่าน ปรับ ครม.ถูกเขี่ยออกก็อย่าว่ากัน ตอนนี้ยิ่งมีข่าวพรรคประชาธิปัตย์แต่งตัวรอเทียบเชิญ ยิ่งทำให้บรรดารัฐมนตรีทั้งเพื่อไทยและพรรคร่วมต้องเร่งสร้างผลงานกันยกใหญ่ จากที่เคยมีข้ออ้างเรื่องงบประมาณจึงต้องเปลี่ยนเป็นใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
อีกประเด็นที่กุนซือรัฐบาลส่งสารให้บรรดา สส.ทั้งของเพื่อไทยและพรรคร่วม คือ หลังจากสภาเปิดสมัยประชุม มันคือเวทีที่พรรคก้าวไกลจะใช้เป็นโอกาสสร้างผลงาน ทั้งเรื่องการตรวจสอบรัฐบาลและการปูดเรื่องใหม่ ๆ ที่มีผลกระทบต่อฝ่ายกุมอำนาจ ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่ทำให้องค์ประชุมครบเพื่อกฎหมายต่าง ๆ ของรัฐบาลจะไม่มีปัญหา แต่ให้หมั่นตรวจตรา และจับตาการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านด้วย มีอะไรที่อ่อนไหวให้รีบสื่อสาร ตอบโต้ โดยเน้นให้ยึดหลักและข้อมูลให้แน่น ไม่ใช่แค่วาทกรรมสาดโคลนเหมือนในอดีต