สงครามชิงพื้นที่สื่อของพรรคเพื่อไทย
การหยิบฉวยจังหวะเรื่องมลพิษทางอากาศของนายกเศรษฐาที่ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องระดับชาติสะท้อนความช่ำชองของพรรคนี้
การหยิบฉวยจังหวะเรื่องมลพิษทางอากาศของนายกเศรษฐาที่ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องระดับชาติสะท้อนความช่ำชองของพรรคนี้ในการทำสงครามชิงพื้นที่สื่ออย่างชัดเจนโดยไม่ต้องคิดนโยบายใหม่ขึ้นมา
ปัญหามลพิษทางอากาศว่าด้วยฝุ่นควัน PM2.5 ที่ปีนี้ระบาดเร็วกว่าคาดหลังจากฤดูฝนผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ของสื่อมวลชน ที่กรุงเทพฯ มีสถิติฝุ่นควันเพิ่มมากกว่า 100 จุด ในเขตภาคเหนือตอนบนอย่างเช่น เชียงรายและเชียงใหม่มีค่าฝุ่นสูงกว่า 100 จุดเช่นเดียวกัน ในขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันตกก็มีการเผาไร่อ้อยเพื่อตัดอ้อยและเผาฟางหลังเก็บเกี่ยวในท้องนาจนทำให้ค่าฝุ่นสูงเพิ่มขึ้นมากซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดมา แม้จะมีกฎหมายออกมาแต่ก็ไม่มีการบังคับใช้
การออกมาให้ข่าวเพื่อยกปัญหานี้ให้เป็นปัญหาระดับชาตินับตั้งแต่การสั่งให้หน่วยงานในท้องถิ่นเข้มงวดกับปัญหาดังกล่าวและการสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศไปเจรจากับพม่าและลาวเพื่อลดการแพร่มลพิษซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
การฉกฉวยจังหวะทางการเมืองดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยที่ถนัดกับการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอีกครั้งโดยไม่ต้องเหนื่อยยากกับการคิดค้นนนโยบายใหม่ให้ยุ่งยาก
เพียงแค่การออกมาพูดหรือสั่งการในการใช้อำนาจรัฐที่เคยย่อหย่อนกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ยอมให้ชาวไร่อ้อยเผาไร่อ้อยจนสร้างมลพิษทางอากาศโดยที่โรงงานน้ำตาลยอมรับซื้อในราคาปกติโดยไม่หักค่าความหวาน
ส่วนกรณีการเผาฟางทิ้งของชาวนาซึ่งเป็นทางเลือกในการกำจัดตอซังข้าวรวมทั้งวัชพืชและศัตรูพืชไปในคราวเดียวก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้ชาวนาไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
การแย่งพื้นที่สื่อของพรรคเพื่อไทยต่อกรณีดังกล่าวอาจจะได้ใจของบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประชาชนบางส่วนที่ต้องทนกับมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง
สำหรับบางพื้นที่ที่มีการเผาป่าเพื่อหาของป่ามาขาย เช่น การหาผักหวาน หรือหาเห็ดเผาะ นั้นเป็นปัญหาละเอียดอ่อนเพราะถือเป็นอาชีพของชาวบ้านที่ด้อยการศึกษาและรายได้ต่ำใช้หาเลี้ยงปากท้อง เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือนอกจากการป้องปราม
การทำสงครามชิงพื้นที่สื่อของรัฐบาลในกรณีสิ่งแวดล้อมทำให้แรงต่อต้านลดน้อยลงเพราะภาพลักษณ์รัฐบาลจะดีขึ้น
สงครามชิงพื้นที่สื่อนี้เป็นหนึ่งในสงครามแย่งชิงอำนาจรัฐที่ได้ผลดีนอกเหนือจากสงครามในข้อกฎหมายและสงครามอุดมการณ์และสงครามจริงที่มีกำลังอาวุธเป็นตัวชี้ขาด
สงครามชิงพื้นที่สื่อนั้นในเชิงวิชาการถือว่ามีความสำคัญในยามที่มีความขัดแย้งทางสังคมสูงท่ามกลางความไม่ลงรอยทางการเมืองในปัจจุบัน เป็นเหตุให้พื้นที่สื่อ ถูกจับจองแย่งชิงกันขนานใหญ่ทั้งจากฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายตรงข้ามจนกลายเป็นสนามรบด้านข้อมูลข่าวสารเพียงชั่วพริบตา ในฐานะที่สื่อมีพลังในการเข้ายึดกุมจิตใจมวลชน
หากพิจารณาการแปรสภาพพื้นที่สื่อเป็นสนามรบนั้น พบว่า ตั้งแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาตัดสินคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อมาจนถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ใช้แผนดาวฤกษ์กระจายกดดันรัฐบาลให้เกิดการยุบสภาด้วยพลทัพศึกมหึมาจากทั่วทุกภาคที่ต้องการแสดงถึงความยิ่งใหญ่ไปพร้อม ๆ กับกลวิธีการบุกแบบมุ่งเน้นด้วยความสงบเรียบร้อย ปลอดอาวุธนั้น ทำให้เรื่อง “ทักษิณ” และ “เสื้อแดง” สามารถครองพื้นที่สื่อแบบที่เรียกได้ว่า “แดงทั้งแผ่นดิน”
พรรคเพื่อไทยได้รับอานิสงส์จากนโยบายเดิมของทักษิณเรื่อง 30 บาท รักษาทุกโรคและนโยบายประชานิยมอื่น ๆ แต่ผู้นำพรรคก็รู้ดีว่ารากฐานอำนาจของพรรคยังไม่มีความมั่นคงเพราะขาดความไว้วางใจจากประชาชนและกลุ่มอนุรักษนิยม การใช้กลยุทธ์สงครามชิงพื้นที่สื่ออันมีความชำนาญเป็นจุดขายที่สำคัญของพรรค
จุดขายนี้คงจะได้ใช้บ่อยครั้ง