สินมั่นคงฯ จ่อถูกปิด
เส้นทางการดำเนินธุรกิจของ SMK น่าจะเหลือค่อนข้างสั้น เชื่อว่าผู้บริหารของบริษัท บุคคลในวงการประกันภัย รวมถึงหน่วยงานกำกับอย่าง คปภ. น่าจะคาดการณ์ไว้แบบเดียวกันนี่แหละ
เส้นทางการดำเนินธุรกิจของ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK น่าจะเหลือค่อนข้างสั้น
เชื่อว่าผู้บริหารของบริษัทฯ บุคคลในวงการประกันภัย และรวมถึงหน่วยงานกำกับอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. น่าจะมองหรือคาดการณ์ไว้แบบเดียวกันนี่แหละ
ปัญหาของสินมั่นคงเริ่มจากการขายประกันโควิด-19 แบบ “เจอ จ่าย จบ”
ทว่า ปัญหาการระบาดของโควิดที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์
ส่งผลคนติดเชื้อเป็นวงกว้าง
และสินมั่นคงฯ เอง มีการขายประกันประเภทดังกล่าวนับแสนฉบับ
ส่งผลทำให้มียอดเคลมสินไหมมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท จนเกิดปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน
เดิมนั้น สินมั่นคงฯ พยายามแก้ปัญหาด้วยการส่งจดหมายยกเลิกกรมธรรม์ไปยังผู้เอาประกันภัย
แต่กลับถูก คปภ.สั่งเบรก และให้ดำเนินการจ่ายสินไหมตามสัญญา
บริษัทฯ ทราบดีว่า ไม่มีกำลังจ่ายเงินที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาทแน่ ๆ ขณะที่เงินกองทุนลดต่ำลง
หากเป็นเช่นนั้น อาจจะถูก คปภ. สั่งหยุดรับประกันภัย
บริษัทฯ จึงเลือกแนวทางที่จะยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เพราะอย่างน้อย ให้อำนาจบริหารจัดการมาอยู่กับ ศาลฯ และตนเองยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
แต่ปัญหาไม่ได้จบแค่นั้น
เพราะในกระบวนการทำแผนฟื้นฟูฯ ทางกลุ่มเจ้าหนี้ไม่โหวตให้ผ่าน
สินมั่นคงฯ จึงสู้ต่อด้วยการแจ้งคัดค้านการโหวตของกลุ่มเจ้าหนี้ไปยังศาลฯ
แต่ศาลกลับมีคำสั่งยกเลิกแผนฟื้นฟูกิจการของสินมั่นคงฯ และบริษัทฯ น่าจะพอทราบชะตากรรม จึงเลือกที่จะประกาศหยุดการรับประกันภัยก่อนที่ทาง คปภ.จะแจ้งออกมาเป็นทางการ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้อำนาจการควบคุมกลับเข้ามาอยู่กับ คปภ.ทันที
ส่วนแนวทางที่ สินมั่นคงฯ จะต้องดำเนินการต่อนับจากนี้
นั่นคือ การเร่งแก้ไขปัญหาทางการเงิน และเงินกองทุนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ตามคำสั่ง คปภ.
ส่วนวิธีการนั้นแก้ไขโดยทั่วไปนั้น เช่น 1.การเพิ่มทุนจากกลุ่มผุ้ถือหุ้นเดิม และ 2.มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ใส่เงินเข้ามาเพื่อซื้อหุ้นหรือซื้อกิจการ
แน่นอนว่า บริษัทที่มีหนี้สินจากค่าสินไหมมหาศาล แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกลุ่มทุนใหม่ใส่เงินเข้ามา เพราะต้องมารับช่วงหนี้ต่อ ส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ก็คงไม่มีเงินเติมเช่นกัน
หากสถานการณ์เป็นไปตามนี้
ขั้นตอนต่อไปที่ คปภ.จะดำเนินการคือ “การเพิกถอนใบอนุญาต” (ปิดกิจการ) สินมั่นคงฯ เหมือนกับ 4 บริษัทที่ถูกปิดตัวไปก่อนหน้านี้ คือ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950, บมจ.เดอะวันประกันภัย บมจ.อาคเนย์ประกันภัย และ บมจ.ไทยประกันภัย
ส่วนหนี้ที่เกิดจากค่าสินไหมจะถูกโอนไปยังกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.)
ปัจจุบัน กปว.มีภาระอยู่แล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากการที่ คปภ.สั่งปิด 4 บริษัทประกันภัย
ดังนั้น หากรวมกับภาระของสินมั่นคงฯ อีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ทำให้ กปว.จะมีภาระหนี้สินไหมที่ต้องจ่ายพุ่งเป็น 8 หมื่นล้านบาท
ถามว่า แล้วกลุ่มลูกค้าที่ซื้อประกันกับสินมั่นคงฯ จะเป็นอย่างไร? กรณีนี้ โดยกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับ จะมีการโอนไปยังบริษัทประกันภัยแห่งอื่น ๆ ที่จะเข้ามารับช่วงต่อ
มีการคำนวณกันคร่าว ๆ ว่า
กลุ่มเจ้าหนี้ค่าสินไหมของสินมั่นคงฯ และรวมของบริษัทประกันภัยอีก 4 แห่งที่ปิดไปก่อนหน้านี้
กว่าจะได้รับเงินครบทั้งหมดนั้น
น่าจะใช้เวลาระหว่าง 15-20 ปี
หรืออาจจะมากกว่านั้น