ดาวโจนส์และดาวโจร

การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม 475.92 จุด จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันที่ครองส่วนแบ่งในตลาดวอลล์สตรีทของตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ใช่เรื่องแปลก


การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม 475.92 จุด จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันที่ครองส่วนแบ่งในตลาดวอลล์สตรีทของตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะกำลังเป็นการปรับฐานจากที่ดัชนีดาวโจนส์ได้วิ่งขึ้นยาวนานนับเดือนเนื่องจากการทำคริสต์มาสแรลลี่ซึ่งทำให้หุ้นพุ่งแรงเป็นการขายทำกำไรตามปกติก่อนจะถึงวันหยุดยาว

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพุธ (20 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายวัน ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อมูลเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,082.00 จุด ลดลง 475.92 จุด หรือ -1.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,698.35 จุด ลดลง 70.02 จุด หรือ -1.47%  และดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq) ปิดที่ 14,777.94 จุด ลดลง 225.28 จุด หรือ -1.50%

เจย์ ฮาร์ทฟิลด์ นักวิเคราะห์จากบริษัท InfraCap ในนครนิวยอร์กกล่าวว่า ในช่วงแรกนั้น ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีพุ่งขึ้นใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยทะยานขึ้นจนแตะแนวต้าน แต่ดัชนีร่วงลงในเวลาต่อมาเนื่องจากเกิดแรงเทขายอย่างหนัก ซึ่งแม้ว่าการทุบขายดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความร้อนแรงของตลาดในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่เทรดเดอร์บางรายแสดงความเห็นว่า แรงเทขายดังกล่าวอาจจะเกิดจากการทำ Put Options ในดัชนี S&P500 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีดิ่งหลุดจากระดับ 4,755 จุดก่อนที่ตลาดจะปิดทำการ โดย Put Options หมายถึงสิทธิในการขายหุ้น ณ ราคาที่ถูกกำหนดไว้ในอนาคต และเมื่อใดก็ตามที่มีการทำ Put Options เพื่อป้องกันความเสี่ยง ตลาดก็จะมีความผันผวนสูงมาก

คำอธิบายดังกล่าวล้วนเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าวีรชนหลังสงครามทั้งสิ้น เพราะในเมื่อดัชนีดาวโจนส์วิ่งขึ้นมาอย่างไม่สมเหตุผล ทำนิวไฮต่อเนื่องกัน การขายออกเพื่อทำกำไรจึงเป็นเรื่องธรรมดาของตลาด แต่มีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงและตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง

ปรากฏการณ์ที่ดัชนีดาวโจนส์กลายเป็นดาวโจรเป็นปรากฏการณ์ของตลาดหุ้นที่ราคาหุ้นไม่สอดคล้องกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ออกมาให้ข่าวว่าผลประกอบการจะลดลง

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคร่วงลงหนักที่สุด หลังจากบริษัทเจเนอรัล มิลส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายในปีงบการเงิน 2566

หุ้นเฟดเอ็กซ์ (FedEx) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุและสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ของสหรัฐฯ ดิ่งลง 12.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรรายไตรมาสต่ำกว่าคาดและได้ปรับลดการคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2566

เพียงแต่ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เผชิญภาวะถดถอย แต่จะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง

ทั้งนี้ ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 110.7 ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. จากระดับ 101.0 ในเดือน พ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 104.5

ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับ 3.82 ล้านยูนิตในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.78 ล้านยูนิต

การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์หลังจากตลาดทำนิวไฮทำให้เชื่อมั่นว่าจะไม่มีสภาวะ Minsky moment ซึ่งเป็นภาวะฟองสบู่แตกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ  แต่สำหรับตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกที่มีความเปราะบางมากกว่าอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่สามารถขึ้นไปได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีตลาดหุ้นพร้อมจะลงมากกว่าขึ้น

Back to top button