พาราสาวะถีอรชุน
เหลืออีก 1 วันก็จะผ่านพ้นปี 2558 ที่ถูกเรียกกันว่าเป็นปีแพะบ้า ก้าวเข้าสู่ปีหน้าฟ้าใหม่ปีวอก ที่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นลิงแสนดีลิงขยันหรือลิงซุกซนลิงพ่นไฟเผาไหม้เศรษฐกิจ ตามคำทำนายของกูรูหลายสำนักว่าปี 2559 จะเป็นปีเผาจริง เหนือสิ่งอื่นใดคงต้องถามไปยังรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าท่านเตรียมพร้อมขนาดไหน เพราะในปัจจุบันเห็นแต่ภาพชวน (สื่อ) ทะเลาะรายวัน
เหลืออีก 1 วันก็จะผ่านพ้นปี 2558 ที่ถูกเรียกกันว่าเป็นปีแพะบ้า ก้าวเข้าสู่ปีหน้าฟ้าใหม่ปีวอก ที่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นลิงแสนดีลิงขยันหรือลิงซุกซนลิงพ่นไฟเผาไหม้เศรษฐกิจ ตามคำทำนายของกูรูหลายสำนักว่าปี 2559 จะเป็นปีเผาจริง เหนือสิ่งอื่นใดคงต้องถามไปยังรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าท่านเตรียมพร้อมขนาดไหน เพราะในปัจจุบันเห็นแต่ภาพชวน (สื่อ) ทะเลาะรายวัน
แถลงผลงานครบรอบ 1 ปีรัฐบาลก็ไม่พอใจที่สื่อไม่ให้กำลังใจ ล่าสุดมีข่าวเรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็โทษสื่ออีกว่านำเสนอให้เกิดความแตกแยกไม่สร้างสรรค์ ทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่ได้มีแนวคิดจะยกเลิกมีแต่จะทำให้ดีขึ้น ก่อนจะขู่สำทับหากใครพูดเรื่องนี้อีกมีเรื่องแน่ ก็มันเป็นเสียอย่างนี้ ที่ป่าวประกาศประเทศจะเดินหน้าเข้าสู่การปฏิรูป แล้วทำไมไม่ยอมฟังเสียงสะท้อนที่แตกต่างบ้างเล่า
เอาแต่ใจ เอาแต่ได้ สั่งให้ซ้ายหันขวาหัน คนไทยไม่ใช่พลทหาร สื่อต่างๆ ก็ไม่ใช่กรมการทหารสื่อสารที่จะคอยรับบัญชามาแล้วเขียนข่าวเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ ปากที่บอกว่าทำประชาธิปไตยให้ดีขึ้น คงต้องสะกิดถามท่านผู้นำกันใหม่ ท่านเข้าใจประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่ หากเข้าใจถ่องแท้พฤติกรรมแย่ๆ มันก็ไม่น่าจะมีให้เห็น
ก่อนสิ้นปี 1 วันคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตอุทยานราชภักดิ์ของกระทรวงกลาโหมที่มี พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกลาโหมเป็นประธานจะแถลงผลการตรวจสอบทั้งหมด ฟังจากปากของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่บอกว่าจะสาธยายทุกอย่างให้กระจ่างชัดทั้งงบประมาณรัฐและเงินบริจาค แต่ไม่พูดถึงปมทุจริตเพราะไม่ใช่หน้าที่
ถ้าเช่นนั้นก็พอจะคาดเดาได้ไม่มีอะไรในกอไผ่ คณะกรรมการชุดนี้ก็จะมีแต่ตัวเลขที่ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.ลืมแถลงไปเมื่อคราว 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปัญหามีอยู่ว่าตัวเลขที่จะแจกแจงนั้นต้องให้เคลียร์กันทุกบัญชีและชี้แจงกันทุกตารางนิ้วว่าแต่ละการก่อสร้างนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ส่วนไหนเป็นการบริจาค หากทุกอย่างกระจ่างชัดปัญหานี้ก็น่าจะทุเลาเบาบางลง
แต่คนก็อดสงสัยไม่ได้จากเดิมทีที่กำหนดจะแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุใดจึงเลื่อนมาเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดยาว หรือกลัวกระแสสังคมจะไม่ยอมรับแล้วถูกตรวจสอบต่อ เลยต้องเลือกเอาเวลานี้ เพราะวันสุดสิ้นปีจะไม่มีใครหน้าไหนมาสนใจข้อมูลข่าวสารกันอีกแล้ว แต่ประทานโทษแม้ว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งแต่ความจริงมันไม่ได้หยุดตาม
เอาแค่สิ่งที่บิ๊กป้อมโพนทะนาออกมา ถ้าย้อนกลับไปตรวจสอบบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นหนังคนละม้วน จากที่เคยยืนกระต่ายขาเดียวโครงการราชภักดิ์เป็นเรื่องของกองทัพบกและไม่มีเงินงบประมาณเกี่ยวข้องเป็นเงินบริจาคล้วนๆ แต่หลังจากถ้อยแถลงของผบ.ทบ.ที่ไม่ชัดเจนท่าทีของรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหมก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที
งานนี้อย่างที่บอกไม่ได้มีใครต้องการจะเล่นงานใครให้ถึงตายหรือไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการทราบข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดก็เท่านั้น ขณะที่ความน่าเชื่อถือเรื่องความโปร่งใส คงไม่ต้องอธิบาย ขนาดที่โครงการอันสูงส่งและไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าทุจริตยังเป็นอย่างนี้ โครงการอื่นๆ ที่เหลือคงไม่ต้องนึกภาพว่ามันจะเป็นอย่างไร
หลายคนสงสัยกรณีการพร้อมใจของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภางดการตั้งฉายารัฐบาลและสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติประจำปีนี้ ในส่วนของสื่อทำเนียบฯพอจะเข้าใจเพราะได้ชี้แจงในแง่ของกฎ ระเบียบและวิธีการที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาต่อเนื่อง แต่สื่อประจำสภาไม่น่าจะมีกฎเกณฑ์ใดๆ การใช้ข้ออ้างไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำฉายาที่ได้ไปใช้หวังผลทางการเมืองน้ำหนักจึงเบาบางเหลือเกิน
เมื่อเลือกที่จะเดินกันไปในทิศทางนี้ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคงจะสบายใจ เพราะหมายความว่ากระบวนการตรวจสอบของสื่อประจำรัฐสภาน่าจะมีปัญหา เป็นเรื่องธรรมดาที่ย่อมจะมีสื่อเลือกข้างแต่คงไม่ใช่เรื่องปกติที่จะงดเว้นสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งฉายาให้กับฝ่ายนิติบัญญัติหลังการรัฐประหารปี 2549 แต่กลับยกเว้นฝ่ายนิติบัญญัติของคณะรัฐประหารในปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นมองได้สองมุมคือ ภาวะที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของจริยธรรมที่ต้องดำเนินการในห้วงที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ อีกทางก็มองได้ว่า สิ่งที่อ้างว่าเป็นมติของเสียงข้างมากนั้นเป็นความกลัว ความกลัวอันเกิดจากการถูกเรียกไปปรับทัศนคติหรือกลัวที่มีคนสื่อบางรายไปรับใช้ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ จนแผ่อิทธิพลไปถึงกองบรรณาธิการบางสำนัก ถ้าเช่นนั้นก็ถือเป็นความโชคร้ายของสังคมที่ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฐานันดรที่ 4 มีความกลัวถึงขนาดที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของตัวเอง
เป็นเรื่องส่งท้ายปีความตั้งใจที่อ้างว่าดีของ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ทำท่าจะมีปัญหา กับการติดตั้งไฟประดับบริเวณลานคนเมืองศาลาว่าการกทม. ด้วยงบประมาณ 39 ล้านบาท จัดแสดงตั้งแต่ 30 ธันวาคมถึง 30 มกราคม 2559 โดยเจ้าตัวตั้งคำถามว่าอะไรคือคุ้มค่า สิ่งเหล่านี้คนเห็นครั้งหนึ่งในชีวิตมันอาจจะมีค่าเกินที่ตัวเงินจะบ่งบอกได้
แต่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯสตง.ไม่ได้มองอย่างนั้น เพราะงบที่นำมาใช้เป็นงบประมาณฉุกเฉิน จึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการใช้งบผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ เนื่องจากโครงการลักษณะนี้สามารถวางแผนโครงการล่วงหน้าและใช้งบประมาณปกติได้ อีกทั้งยังเห็นว่า การติดไฟในพื้นที่ดังกล่าว อาจไม่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะเป็นบริเวณที่ไม่ใช่จุดดึงดูดนักท่องเที่ยว และระยะเวลาการประชาสัมพันธ์ก็มีน้อยเกินไป
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ใครที่ยังไม่รู้จะไปไหน ไปชมสิ่งมหัศจรรย์ของคุณชายหมู แล้วดูกันว่าคุ้มค่าสมราคาที่ท่านคุยไว้จริงหรือไม่ และก็ขอแนะนำให้ วิลาศ จันทรพิทักษ์ และ วัชระ เพชรทอง สองมือตรวจสอบประจำพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมชมด้วย เผื่อจะได้ข้อมูลเด็ดๆ อะไรเอาไปประจาน เอ้ย!ไปบอกกล่าวให้หัวหน้าพรรคได้พิจารณากันอีกสักเรื่อง