พาราสาวะถี

วันคริสต์มาสที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน สวมถุงเท้าสีเขียวแดงเข้ากับธีมวันดังว่า แวะทักทายสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลที่รังนกกระจอก


วันคริสต์มาสที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน สวมถุงเท้าสีเขียวแดงเข้ากับธีมวันดังว่า แวะทักทายสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลที่รังนกกระจอก 2 พร้อมขอชิมขนมปังปาเน็ตโตเน่ ซอสเปโซ ที่เจ้าตัวสั่งมาจากอิตาลี 10 กิโลกรัม ให้นักข่าวได้กินกัน โดยอธิบายเหตุผลที่เลือกสั่งขนมปังดังกล่าวมาให้สื่อมวลชนได้ลิ้มรส เพราะชาวอิตาเลี่ยนใช้มอบให้แก่กันในช่วงวันคริสต์มาส ไม่มีอะไรเป็นนัยสำคัญ แต่สะท้อนถึงไมตรีที่ดีระหว่างผู้นำประเทศกับนักข่าวที่ต้องทำงานร่วมกันจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะพ้นไปจากการปฏิบัติหน้าที่

ปลายปีนี้คงมีโจทย์ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีผู้ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยได้ขบคิด และลงมือทำให้เห็นผลสำเร็จในช่วงปีใหม่ หลังจากสุดสัปดาห์ นิด้าโพลสำรวจความเห็นประชาชนถึงคะแนนนิยมของพรรคการเมืองและคนที่อยากสนับสนุนให้เป็นนายกฯ อันดับหนึ่งยังคงเป็น ก้าวไกล กับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั่นหมายความว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมายังเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางการเมืองหลังเปลี่ยนผ่านจากยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นอย่างดี

เพียงแต่ว่ารัฐบาลเศรษฐา เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ได้เพียงแค่ 3 เดือนเศษ จึงน่าจะเร็วไปที่จะตัดสินว่าผลงานเป็นที่พอใจหรือไม่สำหรับประชาชน ขณะที่ผู้จัดการรัฐบาล “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ยักไหล่กับผลสำรวจดังว่า ไม่ให้ราคากับเรื่องคะแนนนิยมที่เป็นสิทธิของผู้ตอบแบบสอบถามแต่ละรายจะให้คำตอบ ในแง่ของรัฐบาลต้องใช้ผลจากการทำงานเป็นเครื่องชี้วัด หากอยู่ครบวาระคือ 4 ปีค่อยมาดูกันว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับในฝีมือรัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทย หรือจะเสื่อมศรัทธา

อย่างไรก็ตาม ประสาคนที่เข้าใจบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไป คำตอบของเสี่ยอ้วนไม่ได้ทำให้คนที่รับสารแสดงความหมั่นไส้ เนื่องจากเจ้าตัวก็ยอมรับว่ารัฐบาลจะต้องปรับปรุงเรื่องการสื่อสารกับคนเมืองและเยาวชนให้มากขึ้น เนื่องจากพรรคยังไม่แข็งแรงในเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดีย ตรงนี้ก็คือหนึ่งหัวข้อที่เป็นบทสรุปจากความเห็นของคนรุ่นใหม่ภายในพรรค หลังความพ่ายแพ้ที่ผ่านมาว่า ด้านหนึ่งพรรคคู่แข่งก็ใช้ความชำนาญที่มีในการดิสเครดิต ทำไอโอให้ร้ายพรรค มากกว่าพวกเผด็จการสืบทอดอำนาจเสียอีก 

อย่างที่รู้กัน ความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทย หลังจาก แพทองธาร ชินวัตร เข้ามากุมบังเหียน พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรคที่เน้นคนรุ่นใหม่ เป้าหมายย่อมนำมาซึ่งการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเพื่อการยอมรับของคนเมืองและคนรุ่นใหม่นั่นเอง กลไกว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ที่ใช้อุ๊งอิ๊งเป็นตัวเดินเกมร่วมกับคณะทำงานที่มีบุคคลจากหลากหลายสาขาอาชีพ จะเป็นตัวช่วยให้พรรคนายใหญ่ได้พิสูจน์ศักยภาพของบุคลากรว่ามีวิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหารงานเพียงใด

จับทางจากคำสัมภาษณ์ของเสี่ยอ้วน ก็จะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยได้มีการทำยุทธศาสตร์ กำหนดเป้าหมาย และเตรียมการสื่อสารให้ประชาชนได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา ด้วยวลีทองที่ว่า ประชาชนจะเป็นคนตัดสินว่าใครพูด ใครทำ ใครสร้างประโยชน์ให้ประชาชนได้ดีที่สุด แนวทางการตลาดทางการเมืองที่เคยประสบความสำเร็จในยุค ทักษิณ ชินวัตร จะถูกงัดออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนเที่ยวนี้จะเป็นการดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจโลกและความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

เดือนมกราคม 2567 อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเดือนร้อนทางการเมืองก็ว่าได้ สัปดาห์แรกของเดือน สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้ามานานร่วมปีจากเหตุของการเลือกตั้งและการติดขัดเรื่องตั้งรัฐบาล ประลองกำลังกันไปก่อนหน้าแล้วสำหรับก้าวไกลกับฝ่ายรัฐบาล ที่ต้องการให้เลื่อนการถกออกไปเป็นสัปดาห์ที่สองด้วยเหตุผลที่ว่า สส.มีเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายน้อยไป เกรงว่าจะไม่รอบคอบ รัดกุม

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ยืนยัน ด้วยเวลาที่มีจำกัด หากเนิ่นช้าออกไป เกรงว่ากระทบต่องบประมาณในการบริหารประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น ภายในเดือนพฤษภาคมหรือช้าออกไปไม่เกินมิถุนายน สภาฯ ก็จะต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2568 กันอีกแล้ว จึงไม่สมควรที่จะต้องทำให้ยืดเยื้อ เรื่องนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น การตรวจสอบของฝ่ายค้านก็เป็นการทำตามหน้าที่ มีข้อสงสัย ทักท้วงอย่างไร ร่างกฎหมายก็จะผ่านวาระแรก แล้วค่อยไปถกเถียงกันหรือตัดทอนงบประมาณอีกทีในชั้นกรรมาธิการ

คู่ขนานกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2567 ต้องลุ้นกันว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความเห็นอย่างไรกับการที่รัฐบาลถามไปเกี่ยวกับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อนำไปขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งดูแนวโน้มแล้วไม่น่าจะมีอะไรให้ติดขัด นั่นหมายความว่า ถ้าเป็นไปในทิศทางเช่นนี้ ตั้งแต่ต้นปี เศรษฐาและคณะก็จะได้อาวุธตามที่ต้องการเพื่อนำไปสร้างผลงานตามนโยบายสำคัญที่ได้ประกาศไว้

ด้านของพรรคแกนนำฝ่ายค้าน สองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคมมีเรื่องให้ลุ้นระทึกสองเด้ง วันที่ 24 ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยความเป็น สส.ของพิธาในกรณีถือหุ้นไอทีวี ตามที่เจ้าตัวประกาศถ้าหลุดไปได้ก็จะกลับไปทำหน้าที่ในสภาทันที ตรงนี้ก็จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่การรอดของพิธาในคดีดังกล่าว อาจจะเป็นเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม เพราะถัดไปอีกสัปดาห์เดียว วันที่ 31 ศาลก็ได้นัดชี้ขาดคดีที่พรรคก้าวไกลถูกร้องเรื่องการหาเสียงให้มีการยกเลิกมาตรา 112

ตามคำร้องของทนายความอดีตพุทธะอิสระนั้น ให้ศาลชี้ว่าการกระทำดังกล่าวของก้าวไกลเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หากเข้าข่ายก็ให้ศาลสั่งให้พรรคยุติการกระทำดังกล่าวเสีย ซึ่งไม่ได้มีการร้องให้ยุบพรรค ตรงนี้ก็น่าสนใจว่าศาลจะตัดสินออกมาแบบไหน ถ้าเห็นว่าเข้าข่ายแล้วจะมีคำสั่งตามมาอย่างไร เพราะโดยปกติศาลจะไม่วินิจฉัยเกินกว่าที่ผู้ร้องได้ยื่นให้พิจารณา

ชะตากรรมของก้าวไกลยังคงต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายกันต่อไป ซึ่งหากรอดได้ทั้งสองกรณี สถานีต่อไปก็ต้องไปดูกันอีกหนในเดือนเมษายนที่ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคที่ถูกมองว่าเข้ามาเป็นตัวขัดตาทัพไปก่อน ได้ประกาศไว้ว่า เดือนเมษายนจะมีการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ จะมีการเลือกหัวหน้า และกรรมการบริหารพรรคใหม่ทั้งหมด จะเป็นการเปลี่ยนเพื่อรอให้พวกลากตั้งหมดอำนาจโหวตเลือกนายกฯ ในเดือนพฤษภาคม และหวังว่าจะมีการขยับในแง่อำนาจของฝ่ายบริหารด้วยหรือไม่

Back to top button