พาราสาวะถี
ต่อเนื่องตามมาเป็นธรรมดาปกติของช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลังสื่อทำเนียบรัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลไปแล้ว ก็ต้องถึงคราวของนักข่าวประจำรัฐสภาที่ได้ฤกษ์คลอดฉายาประจำปี 2566 เช่นเดียวกัน
ต่อเนื่องตามมาเป็นธรรมดาปกติของช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลังสื่อทำเนียบรัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลไปแล้ว ก็ต้องถึงคราวของนักข่าวประจำรัฐสภาที่ได้ฤกษ์คลอดฉายาประจำปี 2566 เช่นเดียวกัน แต่ด้วยระยะเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่ได้เพียงแค่ 3 เดือนเศษ ทำให้หนนี้ไม่มีตำแหน่งดาวเด่นและคู่กัดแห่งปี ที่น่าสนใจคือแม้ว่า สส.จะเพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ทำให้ประเมินผลการทำงานได้ยาก แต่พวกลากตั้งอยู่กันมานานกลับไม่มีใครได้รับเลือกให้เป็นคนดีศรีสภา และตำแหน่งนี้ว่างเว้นมาเป็นปีที่ 5 แล้ว
ขณะเดียวกัน ฉายาดาวดับ ที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับไปนั้น จะเรียกว่าเหมาะสมก็จะเป็นเหมือนการทับถมถากถางคนที่ถูกตั้งฉายา เพราะการถูกกระทำทางการเมืองทั้งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ถูกร้องเรียนตรวจสอบและส่งผลต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ควรจะได้ด้วยถือเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งแล้ว คำอธิบายของนักข่าวสภาถือว่ากระจ่างชัด จากกระแสฟีเวอร์สุดท้ายกลับไปไม่ถึงดวงดาว สภาไม่ได้เหยียบ ทำเนียบฯ ไม่ได้เข้า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งแขวน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จากคดีหุ้นไอทีวีที่ยังลูกผีลูกคน จึงเป็นดาวที่เคยจรัสแสง แต่ตอนนี้ได้ดับลงแล้ว
ส่วนฉายาของสภาผู้แทนราษฎรที่ว่า “สภาลวงละคร” อันเป็นผลพวงมาจากการเจรจาจับมือตั้งรัฐบาล ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย และพรรคแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ที่พลิกคว่ำพลิกหงาย สุดท้ายกลายเป็นพลิกขั้วไปเสียฉิบ คงไม่ต่างจากที่พรรคแกนนำรัฐบาลได้ฉายาเพื่อไทยการละคร ความจริงภาพของนักการเมืองในสภาหินอ่อนที่เปรียบเหมือนเล่นละครกันตลอดเวลานั้น มันไม่ได้เกิดแค่ในยุคนี้แต่มีมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าหนนี้อาจจะมีตัวละคร และการขับเคลื่อนที่มันดูเหมือนจัดวางกันไว้หมดแล้วเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกันกับฉายาของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาที่ว่า (วัน) นอ-มินี คงไม่ต่างจากที่คนจากพรรคเดียวกันคือประชาชาติอย่าง พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรมได้รับจากสื่อทำเนียบฯ ว่า “ทวีสอดไส้” เพราะทั้งหมดถูกฉายภาพว่า ล้วนแต่เป็นการกระทำเพื่อเป้าหมายให้เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล และ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับประเทศอย่างเท่ ๆ คงปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก ในฐานะที่เคยเป็นทั้งคนรู้ใจและอยู่ร่วมพรรคเดียวกันมาก่อน ถือเป็นเรื่องที่เตรียมใจรับเสียงวิจารณ์ไว้ทั้งคู่สำหรับอดีตหัวหน้าและหัวหน้าพรรคประชาชาติในปัจจุบัน
ต้องยอมรับว่าผลสะเทือนจากเสียงวิจารณ์กรณีของอดีตนายกฯ ซึ่งมีฐานะนักโทษนอนพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ได้นำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนงานในกำกับดูแลของรองนายกฯ ที่ เศรษฐา ทวีสิน เพิ่งเซ็นคำสั่งลงมาล่าสุด โดยริบงานกระทรวงยุติธรรมเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอที่เคยให้ สมศักดิ์ เทพสุทิน ดูแล ไปให้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ จากพรรครวมไทยสร้างชาติดูแลแทน โดยแบ่งงานของกระทรวงสาธารณสุขจาก ภูมิธรรม เวชยชัย มาเพิ่มให้สมศักดิ์
ไม่มีอะไรซับซ้อน ยังไงก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับทักษิณอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกรมราชทัณฑ์ ของกระทรวงยุติธรรม ที่สมศักดิ์พูดถึงเป็นเรื่องเล็ก การที่ให้พีระพันธุ์ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และไม่ได้สังกัดพรรคเพื่อไทย มากำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ก็เชื่อว่าหลังปีใหม่ความสงสัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทักษิณ และระเบียบใหม่ที่ว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำ น่าจะมีคำอธิบายที่กระจ่างและลดเสียงครหาลงได้
เพราะในเวลานี้ เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการเคลื่อนไหวที่ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับทักษิณ นอกจากคณะกรรมาธิการการตำรวจที่มีคนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธาน จะขอไปตรวจสอบชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ท่ามกลางข้อกังขาว่าทำหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือเพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง พวกที่ออกมาวิจารณ์และเรียกร้องเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เป็นพวกขาประจำ ที่พยายามจะดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดยยกผีทักษิณมาหลอกหลอนพวกที่ยังสุดโต่งอยู่
ทั้งที่ความจริง สิ่งที่เกี่ยวพันกับทักษิณต่อการรับโทษและได้รับการลดโทษนั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่มีการกล่าวหา เหมือนที่ ไพศาล พืชมงคล อดีตคนเคยใกล้ชิดอำนาจเผด็จการ คสช.บอก การที่นักวิชาการ และ สว.บางคนกำลังประสานเสียงกันปั่นกระแสว่า ที่ทักษิณได้รับการลดโทษ 4 เรื่องติดต่อกัน ทำให้กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้กระบวนการยุติธรรมเสื่อมนั้น เป็นการบิดเบือน หวังผลเพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อและสร้างความเกลียดชัง
การที่ทักษิณได้รับการลดโทษนั้น ไม่เกี่ยวกับอัยการ ไม่เกี่ยวกับศาล แต่เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารคือรัฐบาลชุดก่อนได้ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งรัฐบาลนั้นมีอำนาจที่จะกระทำได้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ได้พระราชทานพระเมตตา อภัยโทษตามที่รัฐบาลขอพระราชทาน จึงไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และไม่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ทั้ง สว.และนักวิชาการดังกล่าว ย่อมทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แล้วไฉนจึงมาบิดเบือนให้เกิดความสับสน คิดกันให้ดี ๆ ว่าพวกท่านกำลังปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังต่อใคร?
นี่แหละเป็นเรื่องที่ย้ำมาตลอด การไม่ยอมก้าวข้ามทักษิณของพวกสุดโต่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความเจริญของประเทศ ซึ่งหากเป็นไปตามฉายาของสื่อรัฐสภาที่ตั้งให้กับพวกลากตั้งว่า “แตก ป.รอ Retire” กับฉายาของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาที่ว่า “แจ๋วหลบ จบแล้ว” ก็น่าจะทำให้ทิศทางการพัฒนาบ้านเมืองเป็นไปในแนวทางที่ควรจะเป็น เพราะจะไม่มีพวกที่คอยขัดแข้งขัดขา ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ชอบกันเสียที
อีกเรื่องผลพวงจากการหาเหตุมันได้นำมาซึ่งหายนะของประเทศอย่างใหญ่หลวง เหมือนกรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกเล่นงานจากปมการย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นเลขาธิการ สมช. ที่วันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้อง มันคือภาพสะท้อนความไม่ปกติของพวกที่ใช้กลไกอำนาจไม่ชอบธรรมมาบิดเบือนกระบวนการเพื่ออำนวยความยุติธรรม ถึงเวลาที่ผู้ซึ่งมีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสังคายนาและทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเป็นปกติ เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนอย่างแท้จริง