พาราสาวะถี
ประเดิมกันวันนี้สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งวางกันไว้ 3 วัน 3-5 มกราคม
ประเดิมกันวันนี้สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งวางกันไว้ 3 วัน 3-5 มกราคม เห็นการตัดไม้ข่มนามของพรรคฝ่ายค้านทั้งก้าวไกล และประชาธิปัตย์ ก็หวังว่าจะมีข้อมูลแน่นหนา ตรวจสอบการตั้งงบประมาณของรัฐบาลได้อย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่ใช่เป็นการขุดเอาประเด็นข่าวมาใส่สีตีไข่ เหมือนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้แค่ความสะใจของฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น แต่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อันใด
ที่เกรงกันว่าจะมีการพาดพิงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ฟังจาก วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรบอกมาแล้ว หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณก็สามารถอภิปรายได้ ถ้าเช่นนั้นคงต้องสะกิดเตือน สส.พรรคเพื่อไทย อย่าเพิ่งได้แสดงตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ ปล่อยให้ฝ่ายค้านไม่ว่าจะเป็นก้าวไกล ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย หรือพรรคไหนก็ตามได้พูดกันให้จบ จะได้เห็นกันว่ามีอะไรที่เป็นส่วนของเงินแผ่นดินอันไปเอื้อประโยชน์ให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี
หากจะพูดถึงเงินที่ใช้ในการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ คงเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ฐานะผู้ดูแลผู้ต้องขังต้องอธิบายให้สังคมทราบว่า สิทธิของผู้ต้องขังที่จะได้รับในการรักษาพยาบาลนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ที่มีการบอกว่าใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งมีกำเนิดมาจากรัฐบาลทักษิณชุดแรกถือว่าเป็นการใช้ในสิ่งที่ตัวเองได้คิดและทำมา ส่วนเกินหากต้องรักษากันอย่างดีแล้วผู้ต้องขังประสงค์จ่ายเงินเอง ตามระเบียบทำได้หรือไม่ มากน้อยขนาดไหน ทุกอย่างต้องชี้แจงให้กระจ่าง
ไม่ว่าจะโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแล ในที่นี้คือ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม พอมองไปที่ตัวบุคคลซึ่งจะเป็นผู้ตอบข้อสงสัยแล้ว หากคนของเพื่อไทยนิ่งกันให้เป็น เชื่อว่าคำอธิบายของสองรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาล น่าจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจได้ไม่ยาก ทุกอย่างเมื่อยึดโยงอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ว่ากันตามตัวบท กฎหมาย ยากที่ใครจะปฏิเสธได้
ความจริงหากจับเอาปฏิกิริยาของขบวนการต่อต้านระบอบทักษิณก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นระบอบสนธิ-จำลอง ม็อบนกหวีด หรือพวกชนชั้นอีลิทบางราย จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่อดีตนายกฯ ก้าวเท้าคืนแผ่นดินมาตุภูมิ คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงความเห็น หรืออาการต่อต้าน ไม่พอใจแต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะแต่ละคนมีคดีติดตัวเป็นพะเรอเกวียน แต่ต่างก็รู้กันดีว่า เมื่อมีการเดินเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยอมรับกันโดยดุษฎี
แม้แต่อดีตผู้นำประเทศบางรายที่อ้างเรื่องของหลักการ ยึดมั่นในความยุติธรรมสูงสุด ยังปล่อยให้น้องชายที่มีคดีฉ้อโกงหนีคดีอยู่ในต่างประเทศจนหมดอายุความ แล้วก็เดินทางกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือตัวอย่างให้เห็นว่าหากไม่สร้างวาทกรรมเพื่อด้อยค่าใครคนใดคนหนึ่ง หรือพวกใดพวกหนึ่ง เมื่อยึดถือเอาความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามครรลอง กระบวนการที่ประชาชนเชื่อถือ ศรัทธา ย่อมไม่ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
เอาแค่ระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา หลังผ่านรัฐประหารเพื่อการสืบทอดอำนาจ เห็นได้ชัดว่ากระบวนการบิดเบี้ยวจากกลไกของขบวนการอยากอยู่ยาวนั้น มันทำให้ประเทศชาติเสียหายขนาดไหน รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ทำให้เห็นแล้วว่าสร้างปัญหาหรือนำพาประเทศเดินไปข้างหน้ากันแน่ ดังนั้น จึงไม่ควรหลอกตัวเอง หรือใช้ความแค้นส่วนตัว ส่วนพรรคพวกมาเป็นตัวตั้ง ต้องก้าวข้ามอคติ และการหวังผลทางการเมืองกันได้แล้ว
ดูแนวโน้มของการอภิปราย เห็นท่าทีของ สส.และแกนนำพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง ก็พอจะมองกันได้ว่าเป็นไปในทิศทางไหน ไม่ใช่การบ้านที่ยากเกินไปสำหรับ เศรษฐา ทวีสิน โดยทีมกุนซือการเมืองทั้งส่วนตัวที่ไม่เปิดเผยตัวตน และในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับกันมาแล้ว มีการตั้งการ์ดรอไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนที่เป็นเรื่องทางการเมืองท่านผู้นำจะไม่ตอบโต้ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีทั้งจากเพื่อไทยและพรรคร่วมที่จะว่ากันไป
ยิ่งเป็นประเด็นทักษิณยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว แต่หากมีการพูดในเชิงดูแคลนที่ว่าเจ้าตัวตกอยู่ภายใต้ร่มเงาการชี้นำของทักษิณหรือบงการโดยพรรคเพื่อไทย ตรงนี้จะมีการชี้แจง ตอบโต้ด้วยตัวเองโดยมีข่าวว่าเศรษฐาเองก็ได้ไปฝึกปรือวิทยายุทธ์การพูดในสภา การโต้ตอบทางการเมืองกับที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญไว้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคนของพรรค เรียกได้ว่า มีการเตรียมพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา รอดูว่าคนที่ประกาศตัวว่าไม่เล่นเกมการเมืองตามฝ่ายตรงข้ามนั้น เมื่อถึงเวลาจะโชว์ลีลาทางการเมืองได้น่าดูชมขนาดไหน
คู่ขนานกันมากับการอภิปรายงบประมาณ ก็เกิดข่าวปล่อยต่อเนื่องจะมีการปรับ ครม.ด้วยการดึง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นรัฐมนตรี รู้กันอยู่ว่าเป็นเป้าหมายลวงของพวกหวังดีประสงค์ร้าย เป็นการเสี้ยมให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างคนที่เป็นนายกฯ กับหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล ทั้งที่ความเป็นจริงภายในพรรครู้กันความสนิทกันของคนทั้งคู่ในฐานะเคยร่วมหัวจมท้ายกับครอบครัวเพื่อไทยในช่วงหาเสียง แต่มันยังมีเรื่องไมตรีที่แน่นแฟ้นระหว่างครอบครัวทวีสินกับชินวัตรด้วย
จึงไม่แปลกที่ผู้จัดการรัฐบาลอย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย จะบอกว่า ได้ยินมาตลอดแต่ยังไม่เคยเป็นจริง บอกแล้วว่ายังไม่ถึงเวลาที่อุ๊งอิ๊งจะต้องเข้ามามีบทบาทในฐานะเสนาบดี ตามที่เสี่ยอ้วนว่าตอนนี้ยังไกลที่จะไปถึงจุดนั้น ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล พันธมิตรคนสำคัญก็ย้ำว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลจะเป็นมากกว่ารัฐมนตรียังเป็นได้สำหรับคนชื่อแพทองธาร ไม่ใช่การกวนโอ๊ยแต่โดยหลักการมันไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง เพียงแต่ว่าบรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้มันยังไม่ใช่ พรรคแกนนำฝ่ายค้านเองก็ยังต้องลุ้นอนาคตกันสิ้นเดือนนี้ ที่เห็นเย้ว ๆ กันอยู่พวกใจดีสู้เสือทั้งนั้น