หุ้นเทคโนโลยีนิวไฮรอบ 2 ทศวรรษ
จากปี 2565 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ปรับลงกว่า 33% แต่ปี 2566 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับขึ้นกว่า 40% ทำให้ดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นกว่า 43% ถือเป็นปีที่ดีสุดนับตั้งแต่ปี 2563
จากปี 2565 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ปรับลงกว่า 33% แต่ปี 2566 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับขึ้นกว่า 40% ทำให้ดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นกว่า 43% ถือเป็นปีที่ดีสุดนับตั้งแต่ปี 2563
แต่การปรับตัวขึ้นปี 2566 อยู่ระดับต่ำกว่าปี 2552 เพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้พบว่าเพียง 2 ปี ที่มีการเพิ่มขึ้นสูงกว่านับตั้งแต่ปี 2546 เป็นช่วงที่หุ้นเพิ่งหลุดพ้น จากการล่มสลายของวิกฤติดอทคอม โดยดัชนี Nasdaq อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ช่วงเดือน พ.ย. 2564 เพียงแค่ 6.5%
ประเด็นใหญ่ที่สุดปี 2566 คือ การที่ตลาดกลับมามองสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทต่าง ๆ ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดต้นทุนที่เริ่มใช้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว เพื่อมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพและเพิ่มอัตรากำไร
โดยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้รับการส่งเสริมอย่างมาก จากสภาพแวดล้อมระดับมหภาคและโอกาสการลดต้นทุนการกู้ยืม การเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ ทำให้เกิดความตื่นเต้นภาคส่วนนี้ และผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ ลงทุนในสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ต่อไป
“เอ็นวิเดีย” ถือว่าเป็นผู้ชนะท่ามกลางยุคที่บริษัทต่างเร่งพัฒนา AI ราคาหุ้นเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปรายนี้พุ่งสูงขึ้น 239% ช่วงปี 2566 เนื่องจากบริษัทที่ให้บริการระบบคลาวด์รายใหญ่และบริษัทสตาร์ทอัพ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมาก
มีคำสั่งซื้อหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของเอ็นวิเดีย ที่จำเป็นสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขั้นสูง โดยช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิ 17,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 6 เท่าตัว จากปีก่อน ส่วนรายได้ไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว
ขณะที่ผู้บริโภคเริ่มรู้จักกับ generative AI จากระบบ ChatGPT ของ OpenAI ที่บริษัทไมโครซอฟท์ เข้าไปถือหุ้นอยู่ และให้การสนับสนุน มีการเปิดตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564
โดย ChatGPT เป็นแชทบอท ที่อนุญาตให้ผู้ใช้พิมพ์ข้อความไม่กี่คำ และเริ่มการสนทนาที่สามารถสร้างคำตอบที่ซับซ้อนได้ทันที
นอกจาก “เอ็นวิเดีย” แล้ว หุ้นยักษ์ใหญ่ในบรรดาบริษัทเทคโนโลยี ที่เห็นการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก คือหุ้นของ “เมตา แพลตฟอร์มส์” บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้นเกือบ 200%
โดยทั้ง “เอ็นวิเดีย” และ “เมตา” ได้กลายเป็น 2 หุ้นที่มีผลงานที่ดีที่สุดในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ