หุ้นไทย ‘January Effect’ รับปีมังกรทอง
ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายวันแรก (2 มกราคม) ของปีมังกรทอง 2567 ทำให้นักลงทุนชุ่มชื่นหัวใจ เพราะยืนเขียวสดใส พุ่งขึ้นไป 17.53 จุด
เส้นทางนักลงทุน
ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายวันแรก (2 มกราคม) ของปีมังกรทอง 2567 ทำให้นักลงทุนชุ่มชื่นหัวใจ เพราะยืนเขียวสดใส พุ่งขึ้นไป 17.53 จุด มาที่ 1,433.38 จุด หรือบวก 1.24% มีมูลค่าการซื้อขาย 43,272.05 ล้านบาท และมีความหวังว่าในเดือนมกราคมนี้ ปรากฏการณ์ “January Effect” มีโอกาสจะเกิดขึ้น
หากเท้าความย้อนหลังไปในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเสียศูนย์กลายเป็นตลาดที่ตกต่ำมากที่สุดในโลก ติดลบถึง 15.15% ปิดที่ 1,415.85 จุด (28 ธันวาคม) หรือลบไป 252.81 จุด จากสิ้นปี 2565 ที่ 1,668.66 จุด ตลอดทั้งปีนักลงทุนต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทยไม่ยั้งถึง 192,489.94 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 5,597.46 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 81,111.43 ล้านบาท และ 116,975.98 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสวนทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น
ปัจจัยกดดันดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ให้ร่วงลงแรงในปีที่ผ่านมานั้น ในด้านต่างประเทศ เป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งไทย ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะตกอยู่ในภาวะถดถอย, เงินเฟ้อโลกสูง, สถานการณ์สงครามทั้งในส่วนของรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ตลอดจนเศรษฐกิจจีนไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่เหล่ากูรูทั้งหลายคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนจะถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2566 สู่ศักราชใหม่ 2567 หุ้นไทยส่งสัญญาณดี SET INDEX ประคองตัวอยู่เหนือระดับ 1,400 จุดได้ ปีมังกรทองนี้ “January Effect” น่าจะเกิดขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เชื่อว่า นักลงทุนตอบรับความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ FED และเศรษฐกิจโลกไม่ได้ถดถอยรุนแรง แต่เป็นแค่ soft Landing ขณะที่ในฝั่งของไทยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ทยอยเร่งตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 โดยทั้งปี 2567 จะเติบโต 3.2% (ไม่รวมโครงการเงินดิจิทัล)
ทั้งนี้ มีคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งระยะสั้นและยาว ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ 2.5% อย่างน้อยในครึ่งแรกปีนี้ ส่วนแรงกดดันเงินเฟ้อต่อต้นทุนมีแนวโน้มต่ำ ขณะที่เหลือเพียงปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2566 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะเริ่มแจ้งในเดือนมกราคมนี้
เมื่อพิจารณาร่วมกับสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่ตลาดจะปรับขึ้นในเดือนมกราคมย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ย 1.28% ด้วยความน่าจะเป็น 70% ซึ่งในปีนี้มีปัจจัยที่ส่งสัญญาณว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย โดยดัชนีจะยังสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะสั้น หลังจากปรับลงถึง 15% ในปี 2566
อีกหนึ่งมุมมองคือ บล.ลิเบอเรเตอร์ คาดหวังว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะเร่งขึ้นสู่ระดับบวก 3.8% จากปีก่อน มีแรงขับเคลื่อนจากภาคการบริโภคขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนมากขึ้น รวมไปถึงภาคการส่งออกและท่องเที่ยวฟื้นตัวเด่นกว่าปีที่ผ่านมา
ผสานกับการดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ ที่คาดจะผ่อนคลายลง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่การปรับลดลง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนเชิงบวกต่อทิศทางกระแสเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลกลับมาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับค่าเงินที่แข็งค่า ซึ่งล่าสุดค่าเงินบาทแข็งค่าสู่ระดับ 34.1 บาทต่อดอลลาร์ฯ แข็งสุดในรอบ 5 เดือน นอกจากนี้มูลค่า (Valuation) ของ SET อยู่ในระดับต่ำ P/E เพียง 14.5 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 17 เท่า
จากสถิติพบว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนรายปีของ SET ไม่เคยติดลบ 2 ปีติดต่อกัน ดังนั้นปีนี้ก็อาจสะท้อนว่า SET INDEX มีโอกาสที่ผลตอบแทนจะกลับมาเป็นบวกได้เช่นกัน และหากดูสถิติเดือนมกราคมของทุกปี ตลาดมักจะปรับตัวขึ้นด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 70% ด้วยค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่บวก 1.28% หรือที่เรียกว่า “January Effect” ซึ่งในปีนี้ก็เชื่อว่ามีโอกาสที่ SET INDEX จะปรับตัวสูงขึ้น
เมื่อเชื่อมั่นเช่นนี้ ควรเลือกหุ้นอะไรรับ “January Effect” ดี คำถามนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้คัด Top Pick เดือนมกราคม 2567 ไว้ให้แล้ว ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG), บมจ.คอมเซเว่น (COM7), บมจ.จีเอฟพีที (GFPT), บมจ.เซปเป้ (SAPPE) และ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD)
หากมองภาพรวมระยะยาว 1 ปี โบรกเกอร์รายนี้ให้เป้าหมาย SET INDEX ไว้ที่ 1,520 จุด อิงกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ที่ 95 บาท และ P/E 16 เท่า ชี้ว่าดัชนีระดับปัจจุบันน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว จึงเป็นโอกาสในการทยอยสะสม ให้หุ้น Top Pick ของปี 2567 ประกอบด้วย บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH), บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC), บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT), บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD), บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR), และ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าหุ้นไทยในปีนี้จะฟื้น โดยคาดการณ์ SET INDEX ณ สิ้นปี ตั้งแต่ระดับ 1,470-1,750 จุด และ EPS เติบโตตั้งแต่ระดับ 8-17%
เมื่อหุ้นไทยเปิดศักราชซื้อขายวันแรกได้อย่างสวยงาม ก็มีความหวังว่าทั้งปี 2567 นี้ จะเป็นปีที่ดีของนักลงทุน