พาราสาวะถีอรชุน

เริ่มต้นศักราชก็อาจจะมีเรื่องทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอาการหงุดหงิดกันตั้งแต่หัวปี กับข่าวที่สวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศแล้วเสียงสะท้อนมันย้อนแย้งกับคะแนนนิยมจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติโดยสิ้นเชิง ครั้งนั้นบอกว่าประชาชนให้ความชื่นชมชื่นชอบรัฐบาลคสช.สูงถึงร้อยละ 99.5


เริ่มต้นศักราชก็อาจจะมีเรื่องทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอาการหงุดหงิดกันตั้งแต่หัวปี กับข่าวที่สวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศแล้วเสียงสะท้อนมันย้อนแย้งกับคะแนนนิยมจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติโดยสิ้นเชิง ครั้งนั้นบอกว่าประชาชนให้ความชื่นชมชื่นชอบรัฐบาลคสช.สูงถึงร้อยละ 99.5

สร้างความฮือฮากันส่งท้ายปีทีเดียว แต่พอต้นปีสวนดุสิตสำรวจความคิดเห็นประชาชน ถามถึง“ความผิดหวังของประชาชนในรอบปี 2558 ที่มีต่อรัฐบาลคสช.” อันดับ 1 เป็นเรื่องที่จะเป็นโจทย์หินสำหรับรัฐบาลและทีมงานด้านเศรษฐกิจในปีนี้ นั่นก็คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน พืชผลเกษตรราคาตกต่ำ ที่กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 90.36 รู้สึกผิดหวังสุดๆ

ตามมาด้วย การปราบปรามทุจริตยังไม่สำเร็จ ยังมีการทุจริตอยู่ร้อยละ 88.15 นี่ก็ถือเป็นการตบหน้าผู้มีอำนาจฉาดใหญ่ เพราะได้ประกาศนโยบายที่จะทำสงครามกับการทุจริตทุกรูปแบบแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่พอใจและเห็นว่า การโกงไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป อันดับต่อมาคือ การร่างรัฐธรรมนูญยังมีปัญหาข้อขัดแย้งร้อยละ 68.75 การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนร้อยละ 57.52 และ การปฏิรูปประเทศยังไม่เกิดผลที่เป็นรูปธรรมร้อยละ 55.93

หลังเห็นโพลดังกล่าว ขัตติยา สวัสดิผล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นด้วยทันที โดยชี้ว่า สิ่งที่สวนดุสิตโพลทำออกมานั้น เป็นการสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจประชาชน ขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากรณีโพลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ถือเป็นหน่วยงานของรัฐบาล เป็นการทำเพื่อหลอกตัวเองหรือไม่

แน่นอนว่า สิ่งที่สัมผัสกันได้ก็คือทุกคนต่างพูดถึงปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ และคงจะหลอกตัวเองไม่ได้ว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ทำให้ประเทศต่างๆไม่ยอมรับประเทศไทยในขณะนี้ ทำให้ส่งผลต่อเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องการปราบทุจริตคอร์รัปชั่นเมื่อผลออกมาเช่นนี้ คงต้องยอมรับสภาพว่ารัฐบาลยังทำให้ประชาชนเลื่อมใสในความสุจริตไม่ได้

๑๑ผลโพลที่ออกมาประจวบเหมาะกับการทำนายทายทักด้านโหราศาสตร์ของสองโหรชื่อดังนั่นก็คือ โสรัจจะ นวลอยู่เจ้าของฉายานอสตราดามุสเมืองไทย กับ บุศรินทร์ ปัทมาคม ที่วิเคราะห์ดวงดาวแล้วทำนายไปคนละทางกับโหรคมช.อย่าง วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โดยเฉพาะปมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องของพี่น้องประชาชน
๑๑โดยโสรัจจะ ระบุว่า ในปี 2559 ดาวพฤหัสบดีอันเป็นดาวฝ่ายธรรมะ เคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในภพอริกับลัคนาเมือง กลับกลายร่างเป็นฝั่งอธรรม ชี้ให้เห็นว่าความยุติธรรมจะค่อยๆถูกกลืนหาย ผู้ใช้อำนาจเป็นธรรมจะหลงระเริงจากการคอร์รัปชั่นโกงกินและข่มเหงผู้อื่น เป็นยุคของอำนาจมืด ซึ่งแฝงมากับการนำประเทศไปสู่ระบอบการปกครองแบบใหม่ นำไปสู่ความดุเดือด มักใหญ่ใฝ่สูง ลุ่มหลงในอำนาจ

ประเทศไทยน่าเป็นห่วง หากยังดันทุรัง ผู้นำหรือนักการเมืองระดับสูงดื้อดึงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีลงมาสู่ระดับสามัญสำนึกเฉกเช่นประชาชนทั่วไปก็เห็นจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตนเองจากตำราโหราศาสตร์โบราณทำนายว่าเมื่อช้างสารเช่นดาวเสาร์กับดาวมฤตยูยังต้องเผชิญหน้ากันอย่างนี้แล้วไม่รู้ว่าจะไปคิดฝันอะไรให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาได้ต้นปีจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่นองเลือดภายในเมืองบางกอก นครหลวงของประเทศไทย ที่เรียกว่าวันอภิมหาวิปโยค

ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตสถาบันการเงินจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนล้มหายตายจากไปหลายแห่ง ปี 2559 ผู้ฝากเงินต้องปรับตัวเพื่อรองรับนโยบายการประกันเงินฝากที่รัฐบาลกำหนดเพิ่มความระมัดระวังการฝากเงินที่ออมมาตลอดชีวิตให้ดี เมื่อสถาบันการเงินต้องปิดไป ผู้ฝากต้องสูญเสียเงินออมส่วนเกินตามที่กฎหมายกำหนดในขณะนั้น เพราะรัฐบาลไม่รับประกันชดใช้คืนอีกต่อไป

เศรษฐกิจในประเทศยังคงชะลอตัว มีการเลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐออกไป การส่งออกลดลง หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น การไหลออกของเงินลงทุนมีมากขึ้น เศรษฐกิจเฉาหนัก คนลดเที่ยว ลดบริโภค ฉุดภาษีสรรพสามิตทรุดยกแผง จะหวังพึ่งพาการส่งออกไม่ได้อีกแล้วเพราะการส่งออกจะติดลบ การบริโภคในประเทศขยายตัวต่ำมาก และการลงทุนภาครัฐมีการขยายตัวต่ำกว่าเป้า

ขณะที่บุศรินทร์ระบุว่า ดวงเมืองเป็นเช่นนี้ จึงทำให้รวมกันยากหรือปรองดองกันยาก เมื่อรวมกันได้ก็ต้องแตกแยกหรือแตกสามัคคีกันอีก สรุปว่าการแตกสามัคคีจึงเป็นธรรมชาติของคนไทย แต่ที่น่าห่วงมากกว่าคือ เมื่อใดที่ดาวราหูจร โคจรเข้าราศีสิงห์หรือเรือนปุตตะของบ้านเมือง มักเป็นเหตุให้ชาวต่างชาติรู้สึกทางลบต่อประเทศไทยดังเหตุการณ์ พ.ศ.2540 กรณีต้มยำกุ้ง

ในรอบ 18 ปี ตั้งแต่ปี 2540-2559 หลังจากวันที่ 16 มกราคม 2559 กรณีต้มยำกุ้งจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คล้ายเหตุการณ์ปี 2540 แต่ครั้งนี้ต้มยำกุ้งน่าจะชามใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่แล้ว เนื่องจากดวงเมืองถึงจังหวะเวลาอายุย่าง 234 ปีพอดี ย้ำอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่การวิเคราะห์แบบนักวิชาการ แต่เป็นการมองในมุมของโหราศาสตร์ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำทำนายเลยก็ได้ แต่เมื่อมันมีทั้งโพลและเรื่องของหมอดูน่าจะทำให้บิ๊กตู่อารมณ์บ่จอยได้อย่างแน่นอน

แต่ช้าก่อน หากท่านผู้นำเริ่มส่งสัญญาณหงุดหงิด นักข่าวทั้งหลายต้องไปงัดเอาคำพูดของท่านผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมาสะกิดเตือนกันอย่างแรงๆ เพราะบิ๊กตู่ว่าไว้ “ปีหน้าผมก็จะให้ของขวัญตัวเองเหมือนกัน ปีหน้าผมจะพูดให้น้อยลง หงุดหงิดน้อยลง ทะเลาะกับนักข่าวน้อยลง”

”ต้องทำตัวเป็น Good Guy แล้ว ไม่ได้แล้ว 2 ปี แล้ว ที่ผมดุเดือดหน่อย 2 ปีเพราะว่าเป็นช่วงเริ่มต้น เพราะฉะนั้นช่วงปีต่อไปเป็นเรื่องการปฏิรูป ผมบอกแล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ผมปฏิรูปตัวผมเองด้วย” ดูสิว่าเราจะทำตามสัญญาหรือเปล่า แต่กรณีที่หัวหน้าคสช.จะปฏิรูปตัวเองนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมาจากการที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เตือนสติบิ๊กตู่หรือเปล่า ที่บอกว่า สามัคคีนั้นให้เริ่มต้นที่ตัวเอง

Back to top button