ลุ้นอย่าหลุด 1,400 จุด
หุ้นไทยปรับลงเมื่อวานนี้ น่าจะยังเป็นภาพสะท้อนเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุน ช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก อยู่ในแดนบวกและลบสลับกันไป
หุ้นไทยปรับลงเมื่อวานนี้ น่าจะยังเป็นภาพสะท้อนเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก
อยู่ในแดนบวกและลบสลับกันไป
ก่อนที่จะทิ้งลงมาแบบ “ชุดใหญ่” ในช่วงเวลา 14.45 น.เป็นต้นมา กระทั่งปิดตลาด
ส่วนมูลค่าการซื้อขายลงมาเหลือเท่าหางอึ่ง หรือเพียง 32,633 ล้านบาท
หากย้อนกลับไปดูหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ปรับลงมาค่อนข้างน่าผิดหวัง และลงมาแบบสวนกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาค และหากสังเกตให้ดีมีการออกมาเหมือนกับตลาดหุ้น (ไทย) ในปี 2566
หากจะถามว่าประเด็นที่กดดันตลาดหุ้นไทยมีอะไรบ้างนับจากสัปดาห์ก่อน ไล่มาถึงสัปดาห์นี้
เท่าที่เรียบเรียงมาได้ เช่น ความกังวลหนี้เสียของกลุ่มธนาคาร
โดยมาจาก บมจ.อิตาเลียนไทย หรือ ITD มีปัญหาเรื่องการจ่ายคืนเงินหุ้นกู้
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะโบรกฯ ต่างชาติปรับลดน้ำหนักหุ้นในกลุ่มธนาคารลงมา บวกกับกระแสกดดันเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูง
ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด อาจไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเร็วแบบที่หวังไว้กัน
แล้วยังกังวลเรื่องการเมืองระหว่างประเทศทั้งเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ การเลือกตั้งของไต้หวันที่อาจจะไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มกับประเทศจีน ยังไม่รวมวิกฤตทะเลแดง
ทว่ามีการประเมินจากนักวิเคราะห์ของหลักทรัพย์บัวหลวง
เขาบอกว่า ประเด็นที่ว่ามาทั้งหมด
ยังไม่เพียงพอต่อการที่ตลาดหุ้นไทยจะถูกปรับลดน้ำหนัก
หรือเป็นเหตุผล (สำคัญ) ที่มีการขายหุ้นกันออกมา
โดยเฉพาะประเด็นเฟด ที่อาจจะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค. 2567 แทนที่จะ ลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง
เพราะอันที่จริง ช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยไม่ได้ขึ้น รับกับข่าวนี้เลย
ดังนั้น การกลับมายืนที่สมมติฐานเดิม คือ ดอกเบี้ยเฟดจะเริ่มปรับลงในครึ่งหลังปี 2567 จึงไม่ควรถูกนำมาเป็นประเด็นในการขายหุ้นไทย
ส่วนเรื่องความเสี่ยงหุ้นกู้, การผิดนัดชำระหนี้นั้น
มีการวิเคราะห์งบกลุ่มธนาคาร พบว่า มีการเตรียมตัว เผื่อหนี้ด้อยคุณภาพไว้แล้ว
ซึ่งหากเกิดกรณี ITD ต้องสำรองเพิ่มคาดจะกระทบงบแบงก์ปีนี้ ประมาณ 2-4% เท่านั้น และการคุมคุณภาพสินเชื่อที่เข้มงวดมาตลอด จะไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรจากนักวิเคราะห์มากนักในปี 2567
ส่วนเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ยแบงก์นั้น
พบว่าผลกระทบจาก Net Interest Margin หรือ NIM ที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบายแบงก์ชาติ
จะมีผลต่อ คาดการณ์กำไรแบงก์น้อยกว่า การตั้งสำรองฯ เสียอีก
มีการคาดกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ จะขยับลงเป็น 1,395/1,400–1,425 จุด
ปัจจัยที่ต้องตาม สัปดาห์นี้คือ งบการเงินกลุ่มธนาคารจะประกาศกันออกมา หลังจากเมื่อวานนี้ ทิสโก้ TISCO แจ้งกำไร 1,750 ล้านบาท
ส่วนหุ้นแบงก์ที่เหลือ ส่วนมากจะออกช่วงวันศุกร์ที่ 19 ม.ค.นี้
อีกปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังคือ การเมืองระหว่างประเทศ ผลเลือกตั้งไต้หวัน ซึ่งล่าสุดประธานาธิบดี สหรัฐฯ ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน หลังการเลือกตั้งใหญ่ของไต้หวันจบลงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
และยังมีรัฐบาลแก้กฎหมายติดโซลาร์รูฟฯ โรงงานไม่ต้องขอใบอนุญาตโรงงาน
เพื่อหนุนให้อุตสาหกรรม ใช้พลังงานสะอาด
มาลุ้นกันว่า ดัชนีจะหลุด 1,400 จุดหรือเปล่า