AS ทุกขลาภ ‘บิทคับ’.?
หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ (มีบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ของ “ป๋าชูเกียรติ รุจนพรพจี” มาร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ตามด้วยการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่จากบริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS หุ้นเกมที่นักลงทุนรู้จัก ไปเป็นบริษัท แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ AS ในปัจจุบัน...อะไรต่อมิอะไรก็เปลี๊ยนไป๋...!?
หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ (มีบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ของ “ป๋าชูเกียรติ รุจนพรพจี” มาร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ตามด้วยการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่จากบริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS หุ้นเกมที่นักลงทุนรู้จัก ไปเป็นบริษัท แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ AS ในปัจจุบัน…อะไรต่อมิอะไรก็เปลี๊ยนไป๋…!?
จากเดิม AS โตมากับธุรกิจเกมออนไลน์ หลัง ๆ มาเริ่มออกนอกลู่นอกทางไปจับอย่างอื่นมากขึ้น…ที่ฮือฮาเห็นจะเป็นการทุ่มเงินก้อนโต 600 ล้านบาท ซื้อหุ้นบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BO) สัดส่วน 9.22% จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เมื่อช่วงกลางปี 2566
จะไม่ให้ฮือฮาได้ไง ตอนนั้นมีเสียงจิ้งจกตุ๊กแกร้องทักกันระงมว่าจะซื้อไปทำอิหยัง..??
โอเค…คาดหวังเรื่องการ Synergy ธุรกิจร่วมกัน ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศธุรกิจสำหรับผู้เล่นเกม ผู้ผลิตเกม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็พอเข้าใจได้…แต่มีคำถามตามมาว่า เดินเกมช้าไปอ๊ะป่าว..? อย่าลืมว่าธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือบิตคอยน์ มันผ่านจุดพีกไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ส่วนปีที่แล้ว 2566 อยู่ในช่วงขาลง ตลาดไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเก่าแล้วนะ
เพราะฉะนั้นความสำเร็จในอดีตของบิทคับ ออนไลน์ โดยปี 2563 มีรายได้รวม 331 ล้านบาท กำไรสุทธิ 80 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้รวม 5,510 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,545 ล้านบาท และปี 2565 มีรายได้รวม 2,847 ล้านบาท กำไรสุทธิ 342 ล้านบาท…กับปัจจุบันน่าจะต่างกันราวฟ้ากับเหวละมั้ง..??
มิหนำซ้ำตัวบิทคับเองก็มีปัญหาคาราคาซัง ก่อนหน้านี้ก็ถูกเทจากแบงก์สีม่วง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มาแล้ว (แม้จะเป็นคนละบริษัทกัน แต่ก็เป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันนะ)
แต่ดูเหมือน AS จะทำตัวเป็นเด็กดื้อ No.สน No.แคร์ เสียงทักท้วงใด ๆ นะเนี่ย เพราะแม้ไม่มีเงินสดในกระเป๋า ก็ยังอุตส่าห์ไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อบิทคับ ออนไลน์ จนได้..!!
เลยเป็นที่มาของการไปกู้เงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ราย แบ่งเป็น กู้เงินจาก “ปราโมทย์ สุดจิตพร” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 80 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4.5% ต่อปี กำหนดชำระคืนในวันที่ 31 ธ.ค. 2566 และกู้เงินจาก SABUY ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 จำนวน 130 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4.5% ต่อปี แต่ AS ได้ชำระคืนเงินกู้ไปแล้ว 20 ล้านบาท ทำให้เหลือยอดเงินกู้ 110 ล้านบาท ซึ่งกำหนดชำระคืนในวันที่ 31 ธ.ค. 2566
ทว่าตั้งแต่ได้บิทคับ ออนไลน์ มา ก็ยังไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ AS แต่อย่างใด แถมยังเป็นการไปกู้เงินมาเพื่อซื้ออีกต่างหาก
ระหว่างที่นั่งตบยุงรอการสร้างมูลค่าเพิ่มจากบิทคับ ออนไลน์ นั้น ราคาหุ้น AS ก็ดันทะลึ่งไหลลงซะอีก เป็นเหตุให้บอร์ด AS เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2567 ต้องจำใจประกาศซื้อหุ้นคืน 15 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.95% ภายใต้วงเงิน 120 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 18 เม.ย. 2567
ถ้าคิดจากจำนวนหุ้นและวงเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืน ก็ตกหุ้นละ 8 บาท
เมื่อเงินก้อนใหญ่ถูกโยกไปใช้ในภารกิจดันราคาหุ้น…อุ๊ย ไปซื้อหุ้นคืน.!! สุดท้าย AS ก็ไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ตามกำหนด ต้องขอยืดหนี้ทั้งสองก้อนออกไปอีก 2 เดือน หรือครบกำหนดชำระในวันที่ 29 ก.พ. 2567 แทน
บ่งบอกว่า AS สภาพคล่องเริ่มตึงตัว…ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้วนะเนี่ย..??
แหม๊..เห็นเคสของ AS แล้ว ชวนให้นึกถึงโฆษณาดังในอดีตกับวลีฮิตที่ว่า ไอ้ฤทธิ์มีเงินกินแบล็ค..แต่ไม่มีปัญญาใช้หนี้ มันช่างดูละม้ายกับ “AS มีเงินซื้อหุ้นคืน แต่ไม่มีเงินชำระหนี้” ใช่ป๊ะล่ะเนี่ย..เอานะหยอก ๆ..??
ว่าแต่การได้บิทคับ ออนไลน์ มา จะกลายเป็นทุกขลาภหรือป่าว…อันนี้ก็น่าคิดอยู่หนา..???
…อิ อิ อิ…