ฝรั่งยังขายสนุกสนาน
ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ปิดร่วงหนัก 21.07 จุด ส่งผลดัชนีลงมาอยู่แนวรับพอดี 1,380.65 จุด มูลค่าการซื้อขาย 56,707 ล้านบาท
ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ปิดร่วงหนัก 21.07 จุด
ส่งผลดัชนีลงมาอยู่แนวรับพอดี 1,380.65 จุด มูลค่าการซื้อขาย 56,707 ล้านบาท
ดัชนีที่ปิดลงแรง เท่าที่คุยกับนักวิเคราะห์ ต่างบอกว่า ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายมากนัก
นั่นเพราะปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศ ต่างควานหาแทบไม่ได้
ประกอบกับหุ้นไทยของเรานั้นเปราะบางอยู่แล้ว พอมาเจอเรื่องลบ ๆ อีก จึงมีสภาพอย่างที่เห็นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจวานนี้คือ นักลงทุนต่างประเทศขายหนักมาก หรือกว่า 5,749.49 ล้านบาท ส่งผลนับจากต้นปี 2567 มาจนถึงวานนี้ ฝรั่งขายออกมาแล้ว 13,380.75 ล้านบาท
มีคำถามว่า ต่างชาติเอาหุ้นที่ไหนออกมาขาย
เท่าที่เช็กดูล่าสุด สัดส่วนของต่างชาติที่ถือครองหุ้นไทย ยังมีอยู่อีกพอสมควร หรือระหว่าง 16-20%
ยิ่งล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือ บอนด์ยีลด์ อายุ 10 ปี กลับมายืนเหนือ 4% อีกครั้ง
อีกทั้งดัชนีดอลลาร์สหรัฐก็ขึ้นไปทำนิวไฮระยะสั้น หลังจากอ่อนตัวลงมาต่อเนื่อง
สภาวการณ์แบบนี้ เงินย่อมไหลออกแน่นอน
เพราะผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบกับบอนด์ยีลด์ ยังมีช่องว่างห่างกันค่อนข้างมาก
เป็นใครก็ย่อมที่จะโอนเงินไปยังตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้ก่อน
ทั้งนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนของไทย ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากจะลงทุนต่างประเทศนั้น
ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจสูง
และส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดนั่นแหละ แนะนำให้มีการโยกเงินไปลงทุนบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนแต่เพียงในประเทศเท่านั้น
หากจะถามต่อว่า แล้วสถานการณ์หุ้นไทยจะดีขึ้นไปไหม
คำตอบคือ… ที่เพิ่งเขียนไปซึ่งขึ้นอยู่กับเฟดเลยว่าจะส่งซิกลดดอกเบี้ยตอนไหน
แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน ต่างจะบอกกันอย่างพร้อมเพรียงว่า หุ้นไทยถือว่าราคาค่อนข้างถูก หุ้นหลายตัวราคาลงมาต่ำกว่าพื้นฐาน ฯลฯ
แต่ตราบใดที่ฝรั่งมองว่า ต่อให้หุ้นดีอย่างไร
เมื่อดีดลูกคิดคำนวณออกมาแล้ว ตรงไหนให้ผลตอบแทนมากกว่า เสี่ยงต่ำกว่า เขาต้องไปลงทุนตรงนั้นไว้ก่อน
มีข้อมูลมาฝากเพิ่มเติมเล็กน้อย
สำหรับนักลงทุนที่ยังคงมั่นใจตลาดหุ้นไทย และพร้อมที่จะเข้าลงทุน ในช่วงที่ดัชนีปรับฐานลง
ล่าสุดหลักทรัพย์บัวหลวง ได้คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของหุ้นที่ให้คำแนะนำสำหรับไตรมาส 4/2566 ว่าจะเพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศ
ทว่าจะปรับลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า จาก Inventory loss ของกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ
และหากตัดผลประกอบการกลุ่มดังกล่าวออก กำไรรวมจะเติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 11% จากไตรมาสก่อนหน้านี้
กลุ่มที่คาดกำไรจะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ดี ได้แก่
1.กลุ่มขนส่งสาธารณะ (Traffic ที่เพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มภาคพื้นดินและทางอากาศ)
2.กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (ยอดขายเพิ่มขึ้น บวกอัตรากำไรดีขึ้น)
3.กลุ่ม ICT (ค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าลดลง)
4.กลุ่มธนาคาร (สินเชื่อเติบโต, NIM ยังขยายตัว และต้นทุนต่อรายได้ลดลง)
และ 5.กลุ่มค้าปลีก (ตามยอดผู้ใช้บริการที่ยังเติบโตต่อ)
สรุปหุ้นที่กำไรเติบโตได้ดีในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ขนส่ง (AOT) แพ็คเกจจิ้ง (SCGP) ธนาคาร (BBL) การแพทย์ (SAFE) อาหารเครื่องดื่ม (COCOCO, CBG และ ITC), ค้าปลีก (CPALL, CPAXT)
และงานวางระบบ (ITEL)