GFC โตรับเทรนด์ปั๊มลูกปีมังกร

ธุรกิจการรักษาผู้มีบุตรยาก ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน


คุณค่าบริษัท

ธุรกิจการรักษาผู้มีบุตรยาก ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการส่งเสริมมีบุตร เพื่อแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยของรัฐบาล, การยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวของประเทศจีน ส่งผลให้ประชากรอยากมีลูกเพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวจีนเดินทางมาใช้บริการในประเทศไทยจำนวนมาก รวมทั้งรับเซนติเมนต์เชิงบวกในปี 2567 ที่เป็นปีมังกร ซึ่งตามความเชื่อของชาวจีน เชื่อว่าเป็นปีมงคลที่สุด และเชื่อว่าเด็กที่เกิดในปีมังกรจะประสบทั้งความสำเร็จและนำพาความโชคดีมาให้ กลายเป็นแรงกระตุ้นให้มีบุตรกันในปีมังกร

บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากแบบครบวงจร จึงได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ

จุดแข็งของ GFC มีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาที่เติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2563 มีรายได้รวม 214.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 66.55 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้รวม 242.12 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 69.63 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้รวม 275.91 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 65.68 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 254.90 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 54.92 ล้านบาท

ส่วนการขยาย 2 สาขาใหม่ ทั้งสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี ทำให้สามารถรองรับดีมานด์กลุ่มผู้เข้ารับบริการรักษาผู้มีบุตรยาก ทั้งคนไทยและต่างชาติได้มากขึ้น ช่วยหนุนรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง

บล.โกลเบล็ก ระบุว่า แม้สาขาใหม่พระรามเก้าและอุบลราชธานีเสร็จช้ากว่าแผนเดิมที่จะแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการช่วงปลายไตรมาส 4/2566 และไตรมาส 1/2567 ตามลำดับ เป็นช่วงต้นไตรมาส 2/2567 ทั้ง 2 แห่ง โดยยังคงประมาณการรายได้ปี 2567 ที่ราว 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากปีก่อน จากดีมานด์ที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจากับ Agency เพื่อส่งคนไข้ชาวจีนมารับบริการในช่วงไตรมาส 1/2567 ซึ่งบริษัทจะปรับพื้นที่ชั่วคราวของสาขาพระราม 3 ในการรองรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว

นอกจากนี้ ปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สู่ 49.5% จากเดิมคาด 45.6% จากสาขาใหม่ที่เลื่อนเปิด ทำให้รับรู้ค่าเสื่อมราคาและค่าสาธารณูปโภคลดลง รวมถึงการรับลูกค้าชาวต่างชาติผ่าน Agency ซึ่งจะคิดค่าบริการเพิ่มขึ้นราว 20-30% ส่งผลให้ปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 16% สู่ 96 ล้านบาท โต 26% จากปีก่อน

บล.เอเอสแอล ระบุว่า ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2566-2568 เท่ากับ 70.2 ล้านบาท 104.6 ล้านบาท และ 115.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 6.8%, 49.1% และ 10.4% ตามลำดับ หรือ 28.3% CAGR โดยเป็นการประมาณการรายได้เท่ากับ 340 ล้านบาท 480 ล้านบาท และ 520 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 23.2%, 41.2% และ 8.3% ตามลำดับ หรือ 23.7% CAGR ตามแนวโน้มการเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นตามจำนวนการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีบุตรยาก แผนการขยายสาขา และการให้บริการแก่ลูกค้าต่างชาติ

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น GFC ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 35.98 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 17.92 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายสูงกว่าตลาดหลายเท่าตัว สอดคล้องกับ P/BV ที่ระดับ 4.54 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.33 เท่า โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 12.67 บาท จากราคาต่ำสุด 11.70 บาท และราคาสูงสุด 14.30 บาท

Back to top button