OR ปรับทิศทางลงทุน
เกือบครบ 3 ขวบแล้ว ที่ OR ลูกคนเล็กของแม่ใหญ่ ปตท. เปลี่ยนสถานะจากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นบริษัทจดทะเบียน
เกือบครบ 3 ขวบแล้ว ที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ลูกคนเล็กของแม่ใหญ่ปตท. เปลี่ยนสถานะจากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นบริษัทจดทะเบียน หรือ บจ. (เข้าเทรด 11 ก.พ. 2564 ด้วยราคาไอพีโอ 18 บาท)…เข้ามาแล้วก็ยังติดชาร์ตหุ้นขวัญใจรายย่อยด้วยนะ (ปิดสมุด ณ วันที่ 7 ก.ย. 2566 มีผู้ถือหุ้นรายย่อย 320,471 ราย)
ช่วงเกือบ 3 ปีมานี้ จะเห็นว่าภาพของ OR เปลี่ยนไปเยอะ โดยเฉพาะราคาหุ้น แต่ไม่อยากจะเมาท์เยอะ…ก็น่าจะเห็นกันอยู่ทนโท่ จากราคาหุ้นที่ปิดเทรดวันแรกที่ 29.25 บาท เหนือจอง 62.50% จากราคาไอพีโอ 18 บาท และเคยปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 36.50 บาท แต่มาวันนี้เกือบเอาตัวไม่รอด…ราคาจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่..!?
ไม่เอาไม่พูดดดด..!!
เอาเป็นว่า จากภาพจำเดิมแค่ปั๊มปตท. แต่ที่ผ่านมาขยายขอบเขตปั๊มไปเยอะ ดูได้จากสัดส่วนรายได้ ซึ่งเดิมผูกติดอยู่แค่ธุรกิจน้ำมัน หรือกลุ่มธุรกิจ Mobility ก็มีความหลากหลายมากขึ้น มีทั้งกลุ่มธุรกิจ Lifestyle กลุ่มธุรกิจ Global และอื่น ๆ เข้ามาเติม
ที่น่าสนใจนับจากนี้ OR จะเปลี่ยนไปมากขึ้น เห็นได้จากมติบอร์ดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ซึ่งไฟเขียวให้มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินระดมทุน 53,497 ล้านบาท มีกรอบการใช้เงินช่วงระหว่างปี 2564-2568 เพื่อขยายไปสู่ขอบเขตโครงสร้างรายได้ให้เป็นไปตามเทรนด์การค้าโลก ซึ่งมี 4 ขา ได้แก่ ธุรกิจโมบิลิตี้ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจนวัตกรรม
สำหรับวัตถุประสงค์เดิม แบ่งเป็น 1)การขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน 13,300 ล้านบาท 2)การขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ 3,800 ล้านบาท และ 3)การลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าธุรกิจน้ำมัน 8,500 ล้านบาท…ส่วนของใหม่ รวบเป็นการลงในกลุ่มธุรกิจ Mobility 25,600 ล้านบาท โดยแยกย่อยเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย การขยายเครือข่ายสถานีบริการ รวมการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และการบริหารพื้นที่, การขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ รวมพลังงานทางเลือก, การขยายเครือข่ายคลัง เก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าเพื่อธุรกิจ Mobility
ถัดมาเป็นการขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก 9,800 ล้านบาท…ของใหม่ เปลี่ยนเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle 9,800 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย การขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก การลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ลูกค้า เช่น Health & Wellness, Beauty, Digital Platform เป็นต้น
ส่วนการลงทุนในธุรกิจต่างประเทศวางงบไว้ 9,500 ล้านบาท..ของใหม่ เปลี่ยนเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Global 9,500 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ
ด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม (ถ้ามี) ซึ่งวางไว้ 8,597 ล้านบาท อันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ไฮไลต์อยู่ที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ซึ่งวางงบลงทุนไว้ 9,800 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2566 ใช้เงินไปแล้ว 3,719 ล้านบาท ยังเหลือเงินอีก 6,081 ล้านบาท ซึ่งน่าจับตา เพราะก่อนหน้านี้ “ดิษทัต ปันยารชุน” แม่ทัพใหญ่ OR ประกาศไว้ชัด “จะไม่หยุดนิ่งอยู่ที่ food and beverage แต่กำลังขยายไปสู่ธุรกิจอื่น เป็น new business ที่จะพลิกโฉมเป็น new OR”
งั้นก็คงได้เห็นการลงทุนที่เกี่ยวกับธุรกิจสุขภาพและความงาม และดิจิทัลแพลตฟอร์มมากขึ้นน่ะสิ ซึ่งจุดเด่นของ OR มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกบัตรบลูการ์ดกว่า 8 ล้านราย หรืออื่น ๆ ก็สามารถพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มให้บริการอื่น ๆ ได้…
ส่วนจะเป็นแพลตฟอร์มอะไรนั้น…อุ๊ย ยังไม่บอกดีกว่า ลองเดากันดูละกัน
แต่งานนี้คงต้องมีพันธมิตรเข้ามาแหละ ก็น่าติดตามว่าจะเป็นไผ..??
แหม๊…ชักอยากเห็น new OR ในยุค “เฮียดิษทัต” แล้วสิว่าจะแซ่บจี๊ดจ๊าดแค่ไหน..!?
…อิ อิ อิ…