พาราสาวะถี
วันนี้ (31 มกราคม) ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ถูกร้องกรณีชูแก้มาตรา 112 หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
วันนี้ (31 มกราคม) ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ถูกร้องกรณีชูแก้มาตรา 112 หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา วันนี้จะได้รู้หมู่หรือจ่า คำร้องที่กล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดออกมาอย่างไร หากเป็นไปตามข้อกล่าวหา ผลที่จะตามมาคือสั่งให้หยุดการกระทำนั้นตามที่ผู้ร้องร้องมา หรือจะมีอะไรที่มากไปกว่านั้น
แต่อย่างที่รู้กันตามกระบวนการหากผู้ร้องยื่นคำร้องมาให้วินิจฉัยอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ชี้ขาดมากไปกว่าที่มีการร้อง กรณีนี้ทนายความของพุทธะอิสระร้องให้พิธาและพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำนั้นเสีย ย่อมไม่มีเรื่องยุบพรรคตามมา และเมื่อพิจารณาไปถึงแผนงานของพรรคแกนนำฝ่ายค้านในปีนี้ที่เตรียมเสนอร่างกฎหมาย 47 ฉบับ โดยไม่มีเรื่องการเสนอขอแก้ไขมาตรา 112 เหมือนเป็นการ “หมอบ” ไม่ดันทุรังตามแรงยุของม็อบคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม หากมีใครไปร้องต่อว่าการกระทำที่ผ่านมาเมื่อชี้ว่าผิดก็ต้องยุบพรรค นั่นก็เป็นอีกช็อตที่จะต้องลุ้นกันต่อไป
อย่างที่เคยบอกไว้ชะตากรรมของพรรคที่กระแสร้อนแรงนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวแกนนำหลักอย่างพิธาและทิศทางของพรรคเพียงอย่างเดียว แต่พฤติกรรมเรื่องส่วนตัวที่เป็นข่าวฉาวของบรรดา สส.ทั้งหลาย จะกลายเป็นตัวทำลายความน่าเชื่อถือของพรรค ล่าสุด ก็เป็นกรณีของ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา ที่พบว่าไม่ได้ผ่านการเกณฑ์ทหารมา แม้เจ้าตัวจะชี้แจงว่าจับได้ใบดำมาและมี สด.43 เป็นหลักฐานยืนยัน แต่ทาง พลโท ทวีพูล ริมสาคร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้มีการแถลงชี้แจงรายละเอียดของเอกสารดังกล่าว พร้อมชี้ข้อพิรุธของเอกสารที่จิรัฏฐ์นำมาแสดง
ทั้งนี้ กรณีใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการหรือ สด.43 นั้น หากใครที่ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วจับได้ใบดำ ทางคณะกรรมการตรวจเลือกจึงจะออกใบ สด.43 ให้ และจะมีต้นขั้วที่กองทัพเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่กรณีของ ส.ส.คนดังกล่าวตรวจสอบพบว่าไม่มีต้นขั้วใบ สด.43 ที่ตรงกับที่เจ้าตัวนำมาแสดง นอกจากนั้นในช่วงที่ถูกเรียกให้มารายงานตัวเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองประจำการมีการใช้ชื่อเดิมว่า นวรินทร์ ทองสุวรรณ์ แต่ในใบ สด.43 ที่นำมาโชว์ต่อสื่อเป็นชื่อจิรัฏฐ์
หากมีการเปลี่ยนชื่อภายหลัง ต้องนำใบเปลี่ยนชื่อจากที่ว่าการอำเภอหรือเขตมาแสดงต่อสัสดี เพื่อเปลี่ยนชื่อให้ตั้งแต่ตอนแรกก่อนออกใบ สด.43 เนื่องจากหากลงชื่อในใบ สด.43 ไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อได้ งานนี้ต้องพิสูจน์กันให้ได้ว่าเอกสารที่ สส.ของพรรคก้าวไกลรายนี้นำมาแสดงเป็นของจริงหรือไม่ ถ้าปลอม ปลอมกันได้อย่างไร บุคคลที่ปรากฏเป็นผู้เซ็นในเอกสารคงจะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ กลายเป็นว่าจะเป็นกรณีกอดคอกันตายหมู่
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองหากเรื่องนี้เป็นจริง ย่อมไม่เป็นผลดีกับพรรคก้าวไกลที่ชูนโยบายเลิกเกณฑ์ทหารเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก เพราะจะเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน แม้จะไม่ได้มีผลย้อนหลัง แต่ก็ชี้ให้เห็นรากที่มาในแง่ของความคิด และการผลักดัน ที่สำคัญหากเป็นความผิด พรรคจะปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัว หรือร่วมรับผิดชอบด้วย และจะเป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นว่า กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ามาทำงานกับพรรคนั้นมีปัญหา ย่อมกระทบต่อความน่าเชื่อถือได้
คดีรีดเงินอธิบดีกรมการข้าว เห็นคณะทำงานคลี่คลายคดีแล้วต้องบอกว่าน่าเป็นห่วงผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เพราะมีทั้งกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. มีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. น่าจะเป็นไปอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้าพวกร่วมขบวนการมีร้อน ๆ หนาว ๆ กันเป็นแน่
หลังประชุม พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. ประกาศชัดตำรวจยังต้องการตัว “ปลาใหญ่” กว่านี้ เพราะตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนพบว่าน่าจะมีผู้บงการ และข้อมูลที่ได้คือ แก๊งนี้เล่นใหญ่กว่าที่เรียกรับจากอธิบดีกรมการข้าว นั่นก็คือ มีหน่วยงานอื่นที่ถูกเรียกรับทรัพย์ในระดับร้อยล้านบาท เหิมเกริมกันขนาดนี้นอกจากความย่ามใจแล้ว ต้องหมายความว่าน่าจะมีแบ็คใหญ่หนุนหลัง จะเป็นนักการเมือง “ป.” ที่มีข่าวว่าสั่งให้ทนายของอธิบดียุติเรื่องหรือไม่ ตำรวจขออุบไว้ก่อน
ที่แน่ ๆ งานนี้การันตีจากเหล่าบรรดาตำรวจน้ำดีของวงการสีกากีว่า ไม่มีทางเป็นมวยล้มต้มคนดู เพราะ “บิ๊กก้อง” พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เข้ามาคุมคดีด้วยตัวเอง นายตำรวจรายนี้ได้ชื่อว่าทำงานอย่างตรงไปตรงมา และคลี่คลายคดีสำคัญ ๆ มาแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม กระทั่งก้าวขึ้นเป็นผู้การกองปราบ จนขยับเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเมื่อปี 2563 ซึ่งได้ชื่อว่าอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยมาเมื่อปี 2494 ด้วยวัย 46 ปี
มีตำรวจตงฉินแบบนี้คนที่ถูกกระทำย่อมอุ่นใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรม ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะช่วยให้เหยื่อรายอื่นกล้าที่จะออกมาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีและเปิดข้อมูลกันอีกมาก ด้านของ ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ช่วยย้ำอีกแรง ซึ่งตรรกะง่าย ๆ ถ้าอธิบดีกรมการข้าวผิดจริงคงไม่เปิดหน้าชกขนาดนี้ ที่น่าสนใจคือเจ้ากระทรวงเกษตรฯ ได้เห็นหลักฐานหมดแล้ว โดยเฉพาะคลิปเสียงซึ่งเจ้าตัวบอกว่าที่ปรากฏผ่านสื่อนั้นแค่ส่วนน้อย ถ้าได้ฟังฉบับเต็มแล้วจะเห็นภาพขบวนการทั้งหมด
ฟากของพรรคต้นสังกัดของสองผู้ต้องหาร่วมขบวนการรีดอย่างรวมไทยสร้างชาติ เป็นธรรมดาที่ต้องดิ้นเพื่อตัดเนื้อร้ายทิ้งไม่ให้กระทบกับความเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ยี่ห้อ “บิ๊กตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษาเก่าเชื่อว่าไม่รู้ไม่เห็นกับคนพวกนี้ แต่ไม่ว่าจะเขี่ยพ้นพรรคอย่างไร ก็อยากให้ยืนยันเรื่องสถานะความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการแต่งตั้งในวันที่คนประเภทนี้ใช้ตำแหน่งไปทำมาหากิน เพื่อให้ได้รับโทษหนัก สังคมหวังว่าด้วยศักดิ์ศรีที่มีจะทำให้บิ๊กตุ๋ยเลือกความถูกต้องมากกว่าผลประโยชน์ทางการเมือง