พาราสาวะถี

เป็นไปตามคาดศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยการกระทำของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล กรณีแก้ไขมาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


เป็นไปตามคาดศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยการกระทำของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล กรณีแก้ไขมาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกมาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง

หมายความว่า ศาลสั่งให้หยุดและเลิกที่จะคิดแก้ไขมาตรา 112 ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย เป็นไปตามที่ผู้ร้องต้องการ ไม่มีเรื่องการยุบพรรคแต่อย่างใด โดยบรรยากาศก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ปรากฏว่าช่วงคืนวันที่ 30 มกราคม มีคำสั่งกำชับผ่านเเอปพลิเคชันไลน์ว่า ห้าม สส.พรรคก้าวไกลที่รอลุ้นคำวินิจฉัยคดีอยู่ที่อาคารรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะวินิจฉัย และถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ตอบแบบเป็นไปตามหลักการเดิมที่พรรคเสนอเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

ท่วงทำนองในการสั่งให้ สส.ของพรรคสงวนท่าที ก็สอดรับคำเสียงวิจารณ์ของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ก่อนหน้าที่บอกว่าการไม่ยอมเดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 ตามแผนเสนอร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลเป็นการ “หมอบ” นั้น เมื่อพิจารณาถึงผลของคดีที่ออกมา น่าจะพออนุมานได้ว่านี่เป็นการถอยเพื่อความหวังเดินต่อไปในทางการเมือง เรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ ไม่ควรยุ่ง เห็นตัวอย่างกันมานักต่อนักแล้ว สุดโต่งจนเกินไปจบไม่สวยสักราย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับก้าวไกลเห็นอยู่แล้วจากการที่เป็นพรรคชนะเลือกตั้งแต่ไม่สามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาเป็นประเด็นที่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ แม้ว่าข้อเท็จจริงต่อให้ไม่ได้แก้ไขเรื่องนี้ก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล อย่างน้อยการที่ไม่มีประเด็นสุ่มเสี่ยงล้อมรอบตัวเอง ก็ย่อมเป็นเสน่ห์ที่จะทำให้พรรคพวกอยากคบค้าสมาคมด้วย ยิ่งเป็นพรรคที่เนื้อหอม ก็ควรจะมีอนาคตไม่ใช่มองไม่เห็นอนาคตเหมือนที่เป็นอยู่

แน่นอนว่า บรรดาด้อมส้มต่างฝันไปถึงวันที่พวกลากตั้งหมดอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไปแล้ว จะทำให้พรรคที่ตัวเองสนับสนุนเมื่อชนะการเลือกตั้งจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำประเทศและพรรคแกนนำรัฐบาลได้อย่างสง่างาม แต่คำถามก็คือแน่ใจแล้วหรือว่าจะเก็บชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าแบบแลนด์สไลด์ ถ้าเป็นได้เพียงพรรคเสียงข้างมาก ก็มีโอกาสที่จะชวดอีก การจะเป็นรัฐบาลผสมได้ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ถ้าหวังจะจับมือเพื่อนแบบอเมริกันแชร์ไม่มีทางรุ่งสำหรับการเมืองประเทศไทย

โหมงานหนักมาตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือน สุดท้าย เศรษฐา ทวีสิน ต้องลาป่วยหลังจากแพทย์ตรวจพบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อย่างไรก็ตาม การลานั้นเจ้าตัวได้ยื่นลาแค่ 1 วันโดยขอดูอาการแบบวันต่อวัน ซึ่งหากเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์คงอย่างน้อย 2 วันเพื่อให้อาการป่วยหายสนิทและร่างกายกลับมาแข็งแรงเต็มที่ เนื่องจากในวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ มีภารกิจสำคัญที่จะต้องเดินทางไปเยือนศรีลังกา ถือว่ายังฟิตพร้อมที่จะลุยงานได้ทันที

ได้เห็นบทสัมภาษณ์ของ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยผ่านนิคเคอิสื่อของญี่ปุ่น ไม่ได้ทำให้เศรษฐารู้สึกอุ่นใจขึ้น เพราะความจริงรู้กันดีอยู่แล้วว่าข้อตกลงที่คุยกันก่อนจะเข้าสู่สนามการเมืองนั้นเป็นอย่างไร เหมือนที่อุ๊งอิ๊งว่าเศรษฐาเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยในชั่วโมงนี้ หากรัฐบาลสามารถอยู่ได้นานและมีเสถียรภาพมากกว่านี้ ก็จะเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมือง ซึ่งรวมไปถึงพรรคเพื่อไทยและตัวหัวหน้าพรรคด้วย

การเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมูฟออนจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา อาจดูเหมือนเป็นจุดยืนของทั้งหัวหน้าและพรรคเพื่อไทย แต่ความจริงแล้ว สัญญาณที่นำมาสู่การตั้งรัฐบาลก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น ผู้ที่ได้รับสารโดยตรงคือ ทักษิณ ชินวัตร เงื่อนไขการกลับบ้านแบบเท่ ๆ ที่แลกกับการไม่ต้องนอนในคุกนั้น ยังหมายถึงการถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมการเมือง เข้าร่วมพรรคการเมือง หรือรับตำแหน่งใด ๆ ด้วย เมื่อมองไปที่วัยของอดีตนายกฯ แล้ว มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกหน้าเช่นนั้นอยู่แล้ว

ยิ่งการได้เห็นลูกสาวคนเล็กแสดงบทบาททางการเมืองได้อย่างแข็งแรงเช่นนี้ ก็ทำให้เบาใจได้มากโข ที่เหลือจึงเป็นเรื่องการรับเอาแนวทางมาเดินหน้าต่อผ่านบรรดากุนซือมือฉมังทั้งหลายที่ล้วนแต่เป็นสายตรง ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าจะเจอแรงเสียดทานอย่างไร แต่คนของเพื่อไทยในระดับนำที่เป็นรัฐมนตรีต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ดิจิทัลวอลเล็ตต้องเดินหน้าต่อไป ไม่เห็นภาพความกลัวของพรรคที่ถูกเล่นงานมาโดยตลอด นั่นแสดงว่าต้องมีคาถาดีและได้เกราะป้องกันชั้นเยี่ยม

จะเห็นได้ว่าจากเดิมที่ถูกหนังสือแนะนำหรือเตือนจาก ป.ป.ช.อาจจะทำให้รัฐบาลต้องแตะเบรกโครงการนี้ แต่ฟังจากที่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลังตอบคำถามแล้ว ชัดเจนว่า เป็นเพียงความเห็นหนึ่งที่ต้องรอเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจของคณะกรรมการดิจิทัลฯ ชุดใหญ่ว่า จะเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปอย่างไร ไม่มีสัญญาณว่าจะใส่เกียร์ถอย เหมือนที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ว่า เป็นเพียงข้อคิดเห็น เป็นเพียงจินตนาการว่าหากเป็นอย่างนี้จะมีปัญหาอย่างนั้น ถือเป็นความคิดเห็นที่ดีเป็นข้อเตือนใจ “เป็นเพียงข้อสังวรไม่ใช่ข้อปฏิบัติ”

ถือว่าผิดไปจากที่มีการประเมินภายในกันไว้ก่อนหน้า แรงทักท้วงที่มากขนาดนี้อาจจะต้องปรับแผนในการถอยดูเชิงก่อน หรือหาทางลงแบบไม่ให้เจ็บตัว แต่ปรากฏว่าเมื่อหันหน้าไปมองพี่เลี้ยงที่มุมแล้ว กลับมีการส่งซิกว่าให้เดินหน้าเต็มที่ ถ้าเป็นมวยก็ประเภทยกห้าตกเป็นรองแล้วมีอัดฉีดหลายกำปั้น จึงเดินหน้าใส่จนพลิกกลับมาชนะได้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันการมีแรงหนุนจากชนชั้นที่มีพลังและอำนาจเหนือการเมือง ย่อมทำให้อุปสรรคที่ถูกมองว่ายิ่งใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันที

Back to top button