พาราสาวะถี
เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสารตั้งต้นแล้ว จึงไม่แปลกที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้องให้ศาลชี้ขาด จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ กกต.ในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้ยุบพรรคก้าวไกล
เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสารตั้งต้นแล้ว จึงไม่แปลกที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้องให้ศาลชี้ขาด จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ กกต.ในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้ยุบพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐก็ไปยื่นทำนองเดียวกัน หลังจากก่อนนี้เคยยื่นสองหนแต่ กกต.ยกคำร้อง หนนี้ต้นตำรับนักร้องมั่นใจว่า คำชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ พรรคก้าวไกล ใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง เข้าเงื่อนไขที่ กกต.ต้องรับพิจารณา
เนื่องจากตามคำวินิจฉัยถือว่าทั้งพิธาและก้าวไกลได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ที่ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น (1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ส่วน (2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากที่ กกต.จะต้องพิจารณาเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคแล้ว ยังจะต้องสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีการยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดทั้งพิธาและ สส.พรรคก้าวไกล 44 คนที่เสนอขอแก้ไขมาตรา 112 ที่ถือว่าเป็นการกระทำเข้าข่ายฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม น่าพิจารณาว่าการยอม “หมอบ” ของพิธาและก้าวไกลต่อการถอดการแก้ไข ม.112 ตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในปีนี้นั้น ถูกมองว่าอาจจะมีข้อตกลงเพื่อที่จะทำให้สามารถทำงานการเมืองกันได้ต่อไป แต่เมื่อกระบวนการเดินมาถึงขนาดนี้แล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้มีคนต่อยอดเล่นงาน เพราะหากยึดตามแนวทางคำชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมมองเห็นช่องกันอีกพะเรอเกวียน และน่าห่วงในชะตากรรมของพิธาและพวกเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ผลจากการวินิจฉัยครั้งนี้ถือเป็นผลดีทางอ้อมกับพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย เพราะจะช่วยไปยืนยันความถูกต้องในการตัดสินใจตระบัดสัตย์พลิกขั้ว เนื่องจากเงื่อนไข ม.112 เป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองปฏิเสธที่จับมือกับก้าวไกล โดย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย เล่นบทตบหัวแล้วลูบหลังทันที เห็นใจและเข้าใจก้าวไกลที่คิดนโยบาย และนำเสนอเรื่องประชาธิปไตย แต่การดำเนินการในประเด็นดังกล่าวหลังจากนี้จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป การคิดเสนอนโยบายเพื่อการเลือกตั้งในทุกระดับในอนาคต ต้องไปเสนอเรื่องอื่น อย่าดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก
เป็นการพาดพิงแบบเพลย์เซฟ เพราะสิ่งที่อนุสรณ์พูด ในกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็ระบุชัด การที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียง เป็นการใช้นโยบายทางการเมือง เป็นการดึงสถาบันลงมา หวังผลชนะการเลือกตั้ง ให้สถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง กลายเป็นฝ่ายรณรงค์ทางการเมือง ไม่คำนึงหลักการสำคัญในการปกครองที่สถาบันอยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง ซึ่งคงไม่ต่างจากพวกที่เคยใช้ปมมาตรา 112 เล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก่อนหน้านั้น เป็นการดึงฟ้าต่ำ
ปมการรีดเงินอธิบดีกรมการข้าว เริ่มจะฉายให้เห็นเครือข่ายในขบวนการของพี่ศรีเพิ่มมากขึ้น “บิ๊กเต่า” พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกแล้วภายในวันนี้ (2 กุมภาพันธ์) พนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 2 คน และดูเหมือนว่าทางตำรวจจะมีความมั่นใจพยานหลักฐานในคดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดยืนยันหนักแน่นว่า “ไม่กลั่นแกล้งรังแกใคร ไม่มีใต้ดินใด ๆ”
ไม่เพียงเท่านั้น บิ๊กเต่ายังประกาศกร้าวไปถึงขบวนการดังกล่าวด้วยว่า ตอนนี้ข้อเท็จจริงกำลังเปิดเผยข้อมูลของบุคคลผู้ชั่วร้าย ที่ไม่ได้ร้องเรียนเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น แต่เป็นเหลือบไร หรือสุนัขข้างทางที่คอยไล่เห่า-ไล่กัดแย่งอาหาร เปรียบเสมือนงบประมาณ จะมีพวกคอยล้อมหน้าล้อมหลังแย่งเอาเศษอาหาร ความจริงหากไม่ย่ามใจจนเกินไป พวกนักร้องและคนในขบวนการน่าจะรับรู้และใส่เกียร์ถอยตั้งแต่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจกันแล้ว
เพราะเป็นที่รู้กันในแวดวง คนเหล่านี้ใช้วิธีการร้องเรียนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยมีผลตอบแทนอย่างงาม ส่วนการจะได้ผลประโยชน์จากฝ่ายที่ถูกร้องเป็นของแถมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ฝ่ายสั่งการไม่ได้สนใจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเลยเถิดถึงขนาดตั้งแก๊งตบทรัพย์รีดไถกันเป็นล่ำเป็นสันขนาดนี้ นั่นจึงเป็นเหตุให้บางพรรคการเมืองต้องเล่นบทตัดหางปล่อยวัดสมาชิกบางคน ทั้งที่เพิ่งมีหัวโขนที่ได้รับการแต่งตั้งกันมาชนิดก้นหม้อไม่ทันดำ
ประเด็นนี้ก็น่าสนใจ เนื่องจากสองผู้ต้องหาร่วมขบวนพี่ศรีนั้นในช่วงเวลาที่กระทำผิดมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ซึ่งการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนก็จะตั้งข้อกล่าวหาที่หนัก และบทลงโทษก็จะรุนแรงตามไปด้วย ดังนั้น จึงไม่แปลกที่บิ๊กเต่าจะเรียกร้องให้ผู้ที่แต่งตั้งเร่งส่งหลักฐานหนังสือยกเลิกการแต่งตั้งทั้งสองคนให้กับเจ้าพนักงาน เพื่อที่จะได้ดำเนินการต่อ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่สังคมให้ความสนใจว่ามีการยกเลิกจริงหรือเป็นการพูดเพื่อหวังตัดเนื้อร้ายไม่ให้มากระทบกับภาพลักษณ์ของตัวเองและพรรค
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตแอ็กชันของ ธรรมนัส พรหมเผ่า ต่อกรณีที่เกิดขึ้น การกางปีกปกป้องอธิบดีกรมการข้าว ก็เท่ากับรู้ข้อมูลดีว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองนั้นถูกกระทำจากกลุ่มบุคคลใด ไม่ใช่แค่พวกนักร้องที่รีดเงินเท่านั้น แต่ยังหมายถึงคู่แข่งทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่แค่อำนาจปัจจุบันกำลังเร่งทำการกระชับอำนาจเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการรุกไล่ทางการเมืองกับพวกที่เล่นไม่แฟร์ทั้งหลายด้วย