หุ้นไทย เหลือดีอะไร?
ดัชนีหลักทรัพย์สิ้นปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขั้นเพียง 11 จุดจากปี 2564 ท่ามกลางความคาดหวังว่า เมื่อเปิดประเทศหลังโควิดแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและตลาดหุ้นจะรีบาวด์ขึ้นทันตาเห็น แต่ดัชนีหลักทรัพย์ก็ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อยแค่นั้น
ดัชนีหลักทรัพย์สิ้นปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขั้นเพียง 11 จุดจากปี 2564 ท่ามกลางความคาดหวังว่า เมื่อเปิดประเทศหลังโควิดแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและตลาดหุ้นจะรีบาวด์ขึ้นทันตาเห็น แต่ดัชนีหลักทรัพย์ก็ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อยแค่นั้น
แต่มาปี 2566 ตอนช่วงสิ้นปีนี่สิ ดัชนีหงายเงิบจากช่วงต้นปีมาถึง 252.8 จุด หรือร้อยละ 15.15 มาสู่ 1415.85 จุด จากต้นปีมังกรทองมาถึงสิ้น ม.ค. ประเดิมเดือนแรกของปี ดัชนีหลักทรัพย์ก็หายวับไปถึง 51.33 จุด หรือ 3.6% แล้ว และอนาคตข้างหน้าก็ยังค่อนข้างจะมืดมน
ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย อนาคตตลาดหุ้นไทยในวันข้างหน้า
นอกจากดัชนีหลักทรัพย์ที่หดหายแล้ว ปริมาณซื้อขายหรือ “วอลุ่ม เทรด” ก็หดหายตามไปด้วย จะเห็นได้จากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย/วันในปี 2564 ซึ่งมีมากถึง 93,845.64 ล้านบาท และลดลงมาในปี 2565 เหลือเพียงเฉลี่ยวันละ 71,226.17 ล้านบาท และในปี 2566 ที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย/วัน เหลือเพียง 51,071.95 ล้านบาทเท่านั้น
ไม่แน่ใจว่าอันดับแชมป์สภาพคล่องซื้อขายสูงสุดในอาเซียน ถูกสิงคโปร์ทวงคืนไปแล้วหรือยัง
Eco System หรือ ระบบนิเวศตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปัจจัยบวกมีน้อย-ปัจจัยลบมีมาก ก่อเกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง ที่บ่อนเซาะกร่อนทำลายตลาดหุ้น อันเป็นฟันเฟืองใหญ่ในการระดมทุนของประเทศลงไปทุกวัน
โครงสร้างนักลงทุนที่มีบทบาทการซื้อขาย ก็เปลี่ยนไปมาก สัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ครองสัดส่วนในระดับ 50-60% มากกว่านักลงทุนท้องถิ่นทั้งรายย่อยและสถาบันไปแล้ว ซึ่งในอดีต สัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศแค่ 30-35% เอง
จึงมีบทบาทอย่างมากต่อการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทย
เมื่อก่อนนั้น ยังมีคำพูดกันในตลาดบ้างว่าคนไทยซื้อขาย “หลอกฝรั่ง” แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้ว มีแต่คนไทยซื้อขายแบบเดินตามเกมฝรั่งสถานเดียว
อันตรายที่คุกคามตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรงที่สุดในเวลานี้ก็คือ การซื้อขายในระบบ “โปรแกรม เทรดดิ้ง” ที่ใช้การส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง (High Frequency Trading) หรือที่เรียกกันแบบบ้าน ๆ ว่า ระบบการซื้อขายโดย “หุ่นยนต์”
ซื้อก็เร็วและขายก็เร็ว ปัจจุบันมีบทบาทอยู่ในตลาดในราว 45-50% ของปริมาณการซื้อขายในตลาด
คนไม่ทันมันหรอก ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย “คน” อาจใช้เวลา 3 วิ.ถึงจะคีย์คำสั่งซื้อขายได้ แต่ 3 วิ.ของมันก็ไปเป็นร้อยเป็นพันหรือหมื่นออเดอร์ไปแล้ว มนุษย์จะไปสู้กับหุ่นยนต์ได้อย่างไร
อันตรายร้ายแรงที่สุดก็คือ “โปรแกรม เทรดดิ้ง” มุ่งเน้นการลงทุนระยะสั้น ตั้งโปรแกรมซื้อไว้ 5 ช่อง-10 ช่อง พอมีกำไรสักช่อง-สองช่องก็ขายทิ้งทำกำไรแล้ว ส่วนโปรแกรมขายก็ตั้งไว้ 5 ช่อง-10 ช่องเช่นกัน เวลาขายหุ้นทีก็เทสะบั้นราวปืนกล
เดี๋ยวนี้จึงปรากฏอาการหุ้นขึ้นทีละนิด ขึ้นไม่เท่าไหร่ก็โดนเทขาย แต่ยามหุ้นอ่อนตัว ก็มักจะโดนเทพรวดราว “ตกลิฟต์” ก็ไม่ปาน
ตลาดหุ้นที่ถูกครอบงำด้วยนักลงทุนระยะสั้นที่ครองตลาดอยู่ถึง 50% จะเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและมีพัฒนาการอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ใครเข้าตลาดก็ตายเรียบหมดแหละ เพราะเทรดสู้หุ่นยนต์ไม่ไหว
โปรแกรม เทรดดิ้ง ยังเป็นช่องทางทำ “Naked Short” ขายชอร์ตหุ้นโดยไม่มีใบหุ้นอยู่ในมือโดยผ่านคัสโตเดียน เอาเปรียบนักลงทุนอีกด้วย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ และก.ล.ต. ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือ ที่ปล่อยหุ่นยนต์มาทุบนักลงทุนต่อหน้าต่อตา แถมแปรเปลี่ยนตลาดหุ้นไทยให้เป็นตลาดการลงทุนระยะสั้นลงทุกขณะ