ขอแค่เป็นที่หนึ่ง…ในอนาคต
ผ่านไปแล้วด้วยดี แม้ว่าจะไม่สมใจนึกของนักลงทุนหลายคน สำหรับการเข้าเทรดวันแรกของหุ้นที่เกิดจากบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัทน้องใหม่ล่าสุดของวงการหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป 1.53 หมื่นล้านบาท ได้เริ่มเทรดวันแรก และเป็นบริษัทแรกของปี 2559 นี้
ผ่านไปแล้วด้วยดี แม้ว่าจะไม่สมใจนึกของนักลงทุนหลายคน สำหรับการเข้าเทรดวันแรกของหุ้นที่เกิดจากบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัทน้องใหม่ล่าสุดของวงการหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป 1.53 หมื่นล้านบาท ได้เริ่มเทรดวันแรก และเป็นบริษัทแรกของปี 2559 นี้
ดังที่ทราบกันดี BEM เกิดจากการควบรวมกิจการของ 2 บริษัทจดทะเบียนเดิมในเครือ ช. การช่าง เพื่อปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ให้สอดรับกับอนาคต คือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ทำธุรกิจรับสัมปทานบริหารทางด่วนจากรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย มีกำไรดีมาตลอดเป็น “วัวที่ให้น้ำนมเป็นทอง” (cash cow) กับ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นบริษัทรับสัมปทานบริหารเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่อจากการรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ในรูปแบบเอกชนรับจ้างเดินรถ (PPP Gross cost) มีตัวเลขขาดทุนจากการดำเนินมาตลอดยังไม่มีกำไร แต่มีอนาคตสวยหรู เพราะยังมีสัมปทานใหม่เพิ่มขึ้นในรูปแบบที่มีโอกาสเปลี่ยนสัมปทานแบบเอกชนร่วมลงทุน (PPP Net cost) ซึ่งจะใช้รูปแบบ Revenue sharing กับรฟม.
นักวิเคราะห์บางคนยกยอเสียเลิศลอยไปเลยว่า BEM เป็นหนึ่งในบริษัทที่สมบูรณ์แบบและพร้อมขึ้นเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจคมนาคมไทย ทั้งในเรื่องโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงจากสัมปทานในมือมากถึง 7 ฉบับ..ว่ากันไปถึงโน่นทีเดียว
การควบรวมกิจการที่กำไรดี แต่อนาคตเริ่มแผ่ว รวมกับกิจการที่ยังอาการป่วยกระเสาะกระแสะ ต้องเลี้ยงต้อยกันต่ออีกหลายปี แต่รอวันเปล่งประกายเป็นสาวสวยระดับนางงามจักรวาล ถือเป็นกลยุทธ์ควบรวมที่เรียกว่า Amalgamation คือพื้นฐานความแข็งแกร่งและราคาหุ้นไม่เท่ากัน ต้องมีการปรับระดับราคาในการควบรวมเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท
เปิดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรกในตลาด ผู้บริหารระดับสูงก็มากันพร้อมหน้า นำโดยเจ้าสัวใหญ่มาดละเมียด นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานคณะกรรมการบริหารทั้งของ BEM และของเครือทั้งหมด ในขณะที่เอ็มดีคู่ก็ควงกันมาพร้อมหน้าทั้ง นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ รับผิดชอบงานด้านรถไฟฟ้าและ นางพเยาว์ มริตตนะพร รับผิดชอบงานด้านทางด่วนกับการเงินภาพรวมของบริษัท
เปิดเทรดวันแรก สิ่งที่นักลงทุนใจจดใจจ่อก็คือ ลุ้นกันว่า ราคาเปิดจะไปที่เหนือราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้กันที่ระหว่าง 5.30-6.50 บาท ก็ปรากฏว่า ทำได้เหนือระดับราคาเป้าหมายต่ำสุด เพราะเปิดเทรดกันที่ราคา5.55 บาท แต่ก็มีแรงขายออกมา ทำให้ไปไม่ถึงฝั่งฝันราคาเป้าหมายบนสุด เพราะราคาถอยลงมาเรื่อยๆ เกือบจะหลุด 4.90 บาทในท้ายตลาด แต่ก็มีแรงซื้อประคองราคาวิ่งกลับมาปิดที่ระดับ 5.15 บาท
หากเทียบกับราคาที่นักวิเคราะห์ หลายสำนักเคยประเมินเอาไว้ก่อนการควบรวมจะสิ้นสุดลงว่า น่าจะอยู่ระหว่าง 4.50-5.00 บาท ถือว่าทำได้ดีพอสมควร
ยิ่งหากนำไปเทียบกับสถานการณ์ของราคาหุ้นเข้าเทรดใหม่หลังควบรวมทำนองเดียวกันจของ PTTGC หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่ PTTCH ควบรวมกับ PTTAR กลายเป็นบริษัทใหม่ที่ราคาออกมาน่าผิดหวัง…ก็ถือว่าไปได้สวย ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่มากจนเดินโชว์ใครไม่ได้
มูลค่าซื้อขาย 5.497 พันล้านบาท ถือว่าไม่ธรรมดา สำหรับช่วงเวลาที่ตลาดออกอาการไม่ค่อยสู้ดีในยามนี้
แม้จะเสียฟอร์มนิดหน่อย (ในสายตาของนักลงทุนบางคน) แต่หุ้นสาธารณูปโภคอย่างนี้ มันต้องดูกันยาวๆ เหมาะสำหรับวีไอที่ตาถึง เงินถึงเท่านั้น…คนเบี้ยน้อย (แต่) หอยใหญ่ ช่วยอะไรไม่ได้
แม้ราคาเปิดตัววันแรกจะไม่สวยงามอย่างที่คาด แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของ BEM อย่างสวยงาม ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าสัวปลิวจะออกมาให้สัมภาษณ์การันตีผู้ถือหุ้นว่า ปีนี้จ่ายปันผลแน่นอน ไม่มีมั่วนิ่ม
แม้ตามปกติไม่ค่อยได้คุยโตโอ้อวดกับใครเขา แต่งานนี้ เจ้าสัวปลิว กระซิบบอกว่า… “กรณีที่มีนักวิเคราะห์ประเมินว่า BEM จะมีกำไรสุทธิในปี 2559 ประมาณ 2,617 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อนถึง 40% ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้แน่นอน..”
ที่สำคัญ การเติบโตช่วงต่อไปจะไม่มีหยุด เพราะว่า BEM มีเงินสดในมือมากเพียงพอ ที่จะเข้าประมูลเพื่อแข่งรับงานสัมปทานโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งในกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกโครงการ
งานในมือที่จะทำรายได้เพิ่มต่อไปที่รออยู่ มีทั้งการเปิดให้บริการทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ในเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งประเมินว่าจะมีผู้ใช้บริการที่ 80,000 เที่ยวต่อวัน และการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ที่ BEM รับจ้างเดินรถโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จ่ายเป็นค่าจ้างอัตราคงที่ปีละประมาณ 1,800 ล้านบาท
จุดเด่นของ BEM อยู่ที่การควบรวมกิจการในครั้งนี้ส่งผลให้ BEM เหลือหนี้สินต่อทุน (P/E) เพียง 1.3 เท่า ที่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และยังสามารถขยายการลงทุนได้อีกมาก ทำให้ความฝันที่จะสานต่อแผนลงทุนในตลาดประชาคมเศรษบกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่ประเทศเมียนมา ทั้งเรื่องการขนส่งสาธารณะเช่นเดียวกับที่ BEM ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย แต่รายละเอียดอาจจะต่างกันไป
ส่วนอนาคตของ BEM จะเป็นไปตามที่เจ้าสัวปลิวออกมาการันตี เพื่อจะมีมาร์เก็ตแคปใหญ่โตมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือ ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน …เป็นเรื่องต้องจับตามองกันต่อไป
คงไม่ถึงกับต้องฝังหุ้นตัวนี้ไว้ในอ้อมใจของนักลงทุนหรอกนะ…อิ อิ อิ