SET ยังเปราะบางและการฟื้นตัวจำกัด กลยุทธ์ลงทุนเน้นตั้งรับ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเกินคาด ทั้งภาคการจ้างงาน ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณเปราะบางจากค่าจ้างที่ปรับลดลงแรงและต่ำกว่าเงินเฟ้อ
InnovestX มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเกินคาด ทั้งภาคการจ้างงาน ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณเปราะบางจากค่าจ้างที่ปรับลดลงแรงและต่ำกว่าเงินเฟ้อ บ่งชี้การบริโภคอาจมีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป ขณะที่ความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กที่ถูกปรับลดอันดับเครดิตจากสถาบันต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
โดยล่าสุด New York Community Bancorp เริ่มเสี่ยงล้มละลายมากขึ้น ผลจากดอกเบี้ย Mismatch และการที่ธนาคารถือครองสินเชื่อภาคอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์จำนวนมาก ส่วนประเด็น กนง. ส่งสัญญาณ Hawkish stance แม้จะไม่เป็นเอกฉันท์เป็นเพราะ ธปท. ไม่ต้องการส่งสัญญาณว่ากำลังพิจารณาว่าจะลดดอกเบี้ย เพราะหากส่งสัญญาณเช่นนั้น อาจทำให้สาธารณชนมองว่ายินยอมต่อแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งจะทำให้ ธปท. เสียความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด จะทำให้ ธปท. มีช่องทางมากขึ้นที่จะลดดอกเบี้ยได้ โดย InnovestX มองว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ยในเดือน เม.ย. และ มิ.ย. นี้
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า ช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากขาดปัจจัยหนุนใหม่ และอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการไตรมาส 4/66 ของ บจ. ไทยที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือน ก.พ. นี้ นอกจากนั้นความเสี่ยงเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจลดลงน้อยกว่าคาด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงยังคงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) นักลงทุนที่กังวลตลาดผันผวนเชิงลบแนะนำลงทุนในหุ้นตั้งรับซึ่งคาดจะสามารถชนะตลาดได้ โดยมี Beta ต่ำกว่า 1, ราคาหุ้นปรับตัว YTD ดีกว่า SET เลือก ADVANC, AOT, BDMS และ TISCO
2) นักลงทุนระยะสั้น (3-4 เดือน) ที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีในเทศกาลจ่ายเงินปันผลและขึ้น XD ในช่วง มี.ค.–พ.ค. นี้ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 66 (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5% เลือก AP, BCP, KTB ขณะที่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 67 เกิน 5% เลือก AH, AP, BCP, KTB, PTT และ TTB
3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมาก และราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Ratings ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง
ขณะที่ระยะสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 4/66 อาจอ่อนแอกว่าตลาดคาด ได้แก่ BJC, HMPRO, GLOBAL, ZEN, CPF, BTG, AU, AWC และ SIRI