VGI ติดเชื้อด้อยค่า.!

เก๊กซิมกันมาแรมเดือนกับกรณีหุ้น VGI ที่ถูกหมายหัว...อุ๊ย คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะออกมาไม่สู้ดี จนทำให้ราคาสาละวันเตี้ยลงเรื่อย ๆ


เก๊กซิมกันมาแรมเดือนกับกรณีหุ้นบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ที่ถูกหมายหัว…อุ๊ย คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะออกมาไม่สู้ดี จนทำให้ราคาสาละวันเตี้ยลงเรื่อย ๆ กลายเป็นหุ้นต่ำ 2 บาท ไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว..!!

ล่าสุดเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ไม่ดีจริงแฮะ…เพราะเปิดงบไตรมาส 3 ปี 2566/2567 (ต.ค.-ธ.ค. 2566) ออกมา มีตัวเลขขาดทุนบักโกรก 3,339 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2566/2567 (เม.ย.-ธ.ค. 2566) พลิกมาขาดทุนสุทธิ 3,539 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 195 ล้านบาท

#อีแม่ไม่ไหวจะเคลียร์..!!

โอเค…ในแง่ของรายได้จากการให้บริการและการขายก็ลดลงแหละ เหลือแค่ 1,331 ล้านบาท ดร็อปลง 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เคยทำได้ 1,373 ล้านบาท แต่นัยสำคัญเกิดจากการขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่สูงถึง 2,947 ล้านบาท

ซึ่งบริษัทร่วมที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน..? แต่เป็นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX (VGI ถือหุ้นใน KEX จำนวน 269.23 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 15.45%) และบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART (VGI ถือหุ้นใน JMART จำนวน 199.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 13.66%)

แค่นั้นไม่พอ ยังต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมอีกก้อน จำนวน 266 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของ KEX นั่นแหละ

โอ้มายก้อด.! เท่ากับว่า VGI ถูกพิษ KEX เล่นงานถึง 2 เด้งด้วยกัน…ดูไม่จืดเลยทีเดียว

งั้นถ้าจะบอกว่างบไตรมาส 3 ปี 2566/2567 ของ VGI ติดเชื้อด้อยค่า..!! ก็คงไม่ผิดน่ะสิ

ว่าไปแล้ว การเข้าไปลงทุนใน KEX กับ JMART ของ VGI ไม่ใช่เรื่องผิด…ถ้ามองในเชิงยุทธศาสตร์เป็นการสร้างสตราทิจิกพาร์ตเนอร์ เพื่อเสริมการเติบโตของกันและกัน อย่างกรณี KEX เป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนรายใหญ่ ส่วน VGI ซึ่งเดิมเป็นผู้บริหารสิทธิการเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์บนรถไฟฟ้า BTS (ก่อนที่จะขายทิ้งไป) ก็สามารถ Synergy ธุรกิจร่วมกันได้

แถมก่อนหน้านี้มองกันว่า KEX จะได้รับประโยชน์จากเทรนด์ของค้าขายออนไลน์ หรือธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของไทยที่กำลังโตระเบิดระเบ้อ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิดที่คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งพัสดุโตกระฉูดไปด้วย

แต่สิ่งที่หลายคนลืมคิดไปคือ แม้ตลาดขนส่งพัสดุเป็นเค้กก้อนใหญ่ก็จริง แต่ตลาดนี้ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ทำให้เกิดสงครามห้ำหั่นราคา เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดกัน สุดท้ายก็เข้าเนื้อตัวเอง ผลประกอบการของ KEX เลยไม่เอาอ่าวอย่างที่เห็น…

ส่วนกรณี JMART ทำธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมและแกดเจ็ต สามารถ Synergy ธุรกิจร่วมกับ VGI เช่น การไปเปิดช็อปขายสินค้าไอทีบนสถานีรถไฟฟ้า BTS ได้

แต่น่าเสียดายที่การลงทุนในสองบริษัทดังกล่าวไม่ซัคเซสอย่างที่หวัง…แถมยังเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำร้าย VGI อีกต่างหาก

เอาเถอะ…ตัวเลข 2,947 ล้านบาท เป็นเพียงการขาดทุนทางบัญชี ซึ่งถ้า VGI ขายหุ้น KEX ให้กับบริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (SFTH) จากการตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ ที่ราคาหุ้นละ 5.50 บาท ตามที่ “เจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์” ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้จริง ก็จะทำให้งบไตรมาส 4 ปี 2566/2567 (ม.ค.-มี.ค. 2567) ไม่มีบ่วงพันธนาการอีกต่อไป…VGI ก็จะกลับมาสู่ฐานเดิม ส่วนจะเติบโตหรือเปล่า..? ก็อีกเรื่องหนึ่งนะ

บวกกับราคาหุ้น JMART ก็เริ่มขยับขึ้นมา อาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น…

หวังว่า VGI จะส่งท้ายงบงวดปี 2566/2567 ด้วยตัวเลขที่ดูดีนะเจ้าคะ..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button