พาราสาวะถี

การเมืองว่าด้วยเรื่องวาทกรรมกำลังจะกลับมาร้อนแรงกันอีกหน หลังการได้รับอิสรภาพของ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าสารพัดข้อกล่าวหาจะถาโถมเข้าใส่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย


การเมืองว่าด้วยเรื่องวาทกรรมกำลังจะกลับมาร้อนแรงกันอีกหน หลังการได้รับอิสรภาพของ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าสารพัดข้อกล่าวหาจะถาโถมเข้าใส่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แต่ที่ เศรษฐา ทวีสิน จะต้องรับแรงกระแทกไปเต็ม ๆ คือการจุดประเด็นว่าด้วย “นายกฯ สองคน” ก็ไม่แปลกสำหรับฝ่ายที่ดิสเครดิตรัฐบาลซึ่งไม่ใช่มีเฉพาะพวกขาประจำ วันนี้ฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลก็ร่วมวงไพบูลย์นี้ด้วย เป็นอาการแปลกแปร่งหลุดไปจากจุดแข็งของตัวเองที่อ้างมาตลอดว่าสร้างการเมืองแนวใหม่

การพยายามตอกย้ำความเป็นไทที่ทักษิณได้รับคือการเข้ามาครอบงำรัฐบาลและเพื่อไทย ถามว่าสังคมได้อะไรจากเรื่องนี้ จะมีก็แต่ฝ่ายการเมืองที่เกรงว่าหากอดีตนายกฯ กลับมามีอิทธิพล หรือแสดงบทบาททางการเมืองเหมือนที่ผ่านมาในอดีต จะไม่เป็นผลดีต่อพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งกับพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบันทั้งหมด ความจริงไม่ใช่เรื่องผิดหากเจ้าตัวคิดจะทำเช่นนั้น แต่บทเรียนของการต้องระหกระเหินในต่างแดนนานถึง 17 ปี ถามว่าระหว่างการอยู่เบื้องหลังกับยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างไหนมีความสุขกว่ากัน

คงไม่ผิดในฐานะอดีตนายกฯ ที่เคยได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่จะได้ใช้ความรู้ ความสามารถในการเสนอแนะ ชี้นำให้พรรคเพื่อไทยที่มีลูกสาวคนเล็กของตัวเอง แพทองธาร ชินวัตร กุมบังเหียนอยู่ เช่นเดียวกัน เศรษฐาในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศความเป็นตัวของตัวเองแสดงให้เห็นหลายครั้งหลายหน แต่หากต้องการคำปรึกษาเพื่อทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ถามว่าเมื่อมีคนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วพร้อมที่จะให้คำแนะนำ ผู้ตื่นรู้ทั้งหลายจะไม่ไขว่คว้าโอกาสไว้อย่างนั้นหรือ

หากยกเอาอคติและความคิดแก่งแย่งทางการเมืองวางไว้ ใช้ประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งย่อมมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีคนที่ประชาชนยังคงให้ความนับถือ ศรัทธา มาให้คำแนะนำต่อนายกฯ และรัฐบาลเพื่อการสร้างอนาคตให้กับบ้านเมือง อย่าลืมว่าก่อนที่ทักษิณจะได้รับการพักโทษนั้น เจ้าตัวได้รับพระราชทานอภัยโทษมาก่อน โดยตามพระบรมราชโองการที่ลดหย่อนโทษให้นั้น เพื่อให้นำความรู้ความสามารถมารับใช้ชาติบ้านเมือง 

เรื่องนี้ ไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยุครัฐบาลเผด็จการ คสช.ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ทักษิณวันนี้ถือพระบรมราชโองการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามรับสนองไว้ ซึ่งมีความชอบธรรมอย่างเต็มเปี่ยมทั้งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายตลอดจนราชประเพณี ที่จะสนองพระราชประสงค์ตามพระบรมราชโองการนั้น หากมองจากจุดนี้ก็จะเห็นได้ว่านี่เป็นสัญญาณหนึ่งของการที่ประเทศไทยต้องเริ่มต้นยุติความขัดแย้งเพื่อก้าวไปสู่ความสมัครสมานสามัคคี

สถานการณ์ ณ เวลานี้ถ้านับจากช่วงความขัดแย้งใหญ่ของประเทศไทยรอบหลัง ระยะเวลา 18 ปี ตั้งแต่ปี2548 ถึง 2566 ได้สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของทักษิณ และเป็นบทเรียนให้กับคนทั้งหลายว่านับแต่นี้ไป อย่าให้ใครหลอกใช้เป็นเครื่องมือออกมาต่อสู้กันเองอีกต่อไป เพราะตายเปล่าเจ็บเปล่า หรือไม่ก็ติดคุกเปล่า ๆ หาประโยชน์อันใดไม่ได้ ความจริงแล้วหากรู้จักการเรียนรู้เพื่อไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี ต้องยอมรับว่าบทเรียน 18 ปีของทักษิณอุดมสมบูรณ์มาก

มุมมองของไพศาลคือ บทเรียนหลักเกี่ยวกับการมองคนไม่ขาด เชื่อมั่นในตัวเอง และอำนาจรัฐอำนาจเงินมากเกินไป ไม่เข้าใจวิถีแห่งฟ้า และกฎแห่งอำนาจ ตลอดจนชะตาฟ้าที่กำหนดให้พระอังคารเป็นศูนย์พาหะนำหน้าลัคนาในดวงเมือง ดังนั้น การยึดอำนาจผู้มีอำนาจจึงไม่มีวันหมดสิ้นไปจากประเทศไทย สุจริต-เมตตา-สัจจะ-สามัคคี เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม คือธรรมที่จะทำให้ความร้อนแห่งอำนาจสงบเย็น สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ผู้มีอำนาจและราษฎรทั้งปวงได้

อย่างที่บอกว่าการเมืองเป็นเรื่องทั้งศาสตร์และศิลป์ การต่อสู้ทางการเมืองสำหรับประเทศไทยจะรุกรบแบบสุดโต่งไม่มีทางที่จะชนะ การกลับมาของทักษิณคงไม่มีใครปฏิเสธว่าจะเป็นการกลับบ้านแบบรอเวลา ประสาคนแก่เซ็งชีวิต ด้วยสังขาร ความร่วงโรยตามอายุขัย เพราะประสาคนที่มีความคิด และพลังในการขับเคลื่อนเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้บ้านเมือง ย่อมเป็นโอกาสที่จะได้แสดงศักยภาพให้เห็น เพียงแต่ไม่ใช่การขับเคลื่อนด้วยตัวเอง แต่ผ่านกลไกของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

การเปลี่ยนแปลงของพรรคแกนนำรัฐบาลตั้งแต่การเลือกลูกสาวคนเล็กของทักษิณเข้ามากุมบังเหียน ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำงานคู่ขนานกันโดยรัฐบาลเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ พรรคดำเนินการเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นใหม่มากขึ้น อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญคือการรอวันที่ผู้มีอิทธิพลทางความคิดและการขับเคลื่อนตัวจริงอย่างทักษิณได้รับอิสรภาพ จะเข้ามาเติมเต็มให้เครื่องจักรที่เรียกว่าประชานิยมได้เดินหน้าเต็มสูบ

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทันทีทันใดจึงเกิดการดิสเครดิตรัฐบาลหลังการได้กลับบ้านจันทร์ส่องหล้าของอดีตนายกฯ แต่การเมืองยุคใหม่ไม่ใช่การใช้วาทกรรมทำลายแล้วเรียกเสียงหนุนได้เหมือนช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมา มันจึงทำให้พรรคฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลต้องปรับเปลี่ยนมุมคิดกันใหม่ในการที่จะดำเนินกิจกรรมการเมือง จะอาศัยพลังโซเซียลที่ตัวเองชำนาญ ผนวกกับการใช้ไอโอให้เนียน ๆ ยิ่งกว่าพวกเผด็จการสืบทอดอำนาจเหมือนที่เป็นมาไม่ได้อีกแล้ว

ต้องอย่าลืมว่า ในบริบทที่กล่าวหารัฐบาลมีนายกฯ สองคนนั้น พรรคของตัวเองก็ถูกมองว่ามีหัวหน้าพรรคกี่คนกันแน่ แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าการเมืองแบบวาทกรรมไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรับตัวเพื่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง พวกที่จะอยู่ยากภายใต้กระแสเปลี่ยนผ่านแบบนี้ คงเป็นพวกลากตั้งขาประจำที่ทำตัวเป็นพวกหิวแสงมากกว่าจะอยู่กันอย่างไร หากทำใจได้ก็ทำตัวโลว์โปรไฟล์ให้คนลืมไปตามกาลเวลา ถ้ายังคิดจะสู้เพื่อการทำมาหากิน ยังมองไม่ออกว่าจะทำกันแบบไหน ขณะที่พวกขาประจำส่วนใหญ่ที่รู้ทิศทางลมก็ทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้กันไปแล้ว

Back to top button