MSCI เพิ่มอินเดีย-ลดจีน.!?

สัปดาห์ที่ผ่านมา MSCI ผู้ให้บริการด้านการเงินและเป็นผู้จัดทำดัชนีหุ้นชั้นนำ มีการประกาศเพิ่มน้ำหนักอินเดียใน MSCI Global Standard Index ขึ้นเป็น 18.2%


สัปดาห์ที่ผ่านมา Morgan Stanley Capital International (MSCI) ผู้ให้บริการด้านการเงินและเป็นผู้จัดทำดัชนีหุ้นชั้นนำ มีการประกาศเพิ่มน้ำหนักอินเดียใน MSCI Global Standard Index ขึ้นเป็น 18.2% จาก 17.9% นับตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. 2567 นับเป็นการเพิ่มหุ้นอินเดียเข้าดัชนีระดับสูงสุด นับตั้งแต่มีการทำดัชนี MSCI Global Standard

ทำให้นักวิเคราะห์ต่างประเมินกันว่าการปรับน้ำหนักรอบนี้จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดีย อีกประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 42,000 ล้านบาท)

ข้อมูลจาก Nuvama Alternative & Quantitative Research ระบุว่า ปัจจัยหนุนสำคัญของการเพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียครั้งนี้ นั่นคือผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียโดดเด่น เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นจีน

โดยมีการประเมินกันว่า สัดส่วนของหุ้นอินเดีย ในดัชนี MSCI Global Standard อาจขึ้นสูงกว่า 20% ภายในต้นปี 2567 เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนจากทั้งนักลงทุนสถาบันภายในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ…

ทั้งนี้ปี 2566 ที่ผ่านมา “อินเดีย” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วสุดในโลก Real GDP growth อยู่ที่ 6.3% นอกจากนี้องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ประเมินว่า ปี 2567-2568 เศรษฐกิจอินเดีย จะมี GDP เติบโต 6.1% และ 6.5% ตามลำดับ ถือว่าเป็นการเติบโตมากสุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก 

รอบเดียวกันนี้เอง MSCI ได้ปรับลดน้ำหนักตลาดหุ้นจีนลดลงเหลือ 25.4% จากเดิมระดับ 26.6% พร้อมกับคัดหุ้นจีนจำนวน 66 บริษัท ออกจากการคำนวณดัชนี MSCI China จากการทบทวนรอบล่าสุด และถือเป็นจำนวนที่มากสุดรอบ 2 ปี โดยเริ่มมีผลหลังตลาดหุ้นจีนปิดทำการซื้อขายวันที่ 29 ก.พ. 2567

การถอดรายชื่อหุ้นจีน..ออกจากการคำนวณดัชนี MSCI China ครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นจีน เผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์

โดยรายชื่อหุ้นที่ถูกถอดออกจากการคำนวณ มีตั้งแต่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาทิ เจมเดล คอร์ป (Gemdale Corp) กรีนทาวน์ ไชน่า โฮลดิงส์ (Greentown China Holdings) ไปจนถึงบริษัทไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ (China Southern Airlines) และผิงอัน เฮลท์แคร์ แอนด์ เทคโนโลยี (Ping An Healthcare and Technology) บริษัทเหล่านี้อาจไม่เข้าเกณฑ์ของ MSCI ในแง่ขนาดและสภาพคล่องการซื้อขาย

สำหรับการปรับเปลี่ยนบริษัทที่เข้าร่วมคำนวณดัชนี MSCI รอบนี้ ถือว่าส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นจีนระยะสั้น เนื่องจากบรรดากองทุนที่ใช้ดัชนี MSCI เป็นเกณฑ์มาตรฐาน ต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อให้สอดคล้องกับดัชนี และการปรับการคำนวณรอบนี้

ทว่าไม่เพียงแต่มีผลต่อ MSCI China Index เท่านั้น แต่มีผลต่อ MSCI All Country World Index ตามไปด้วย..!!

รายงานจากสถาบันการเงินและการพัฒนาแห่งชาติของจีน (NIFD) ระบุว่า หนี้ทุกภาคส่วน (Total Debt) ทั้งภาครัฐ เอกชนและครัวเรือนของจีน เพิ่มขึ้นเป็น 287.8% ช่วงปี 2566 สูงกว่าปีก่อนหน้า 13.5 จุด ที่สำคัญการขยายตัวของสัดส่วนหนี้สินโดยรวมแซงหน้าการเติบโตของการกู้ยืม

โดยสัดส่วนหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1.3 จุด เป็น 63.5% ขณะที่สัดส่วนหนี้สินของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6.9 จุด เป็น 168.4% ขณะเดียวกันสัดส่วนหนี้ภาครัฐขยายตัว 5.3 จุด เป็น 55.9%

แต่ว่า “ตลาดหุ้นจีน” ที่เริ่มฟื้นตัวช่วงสั้นนี้ น่าจะบ่งบอกเบื้องต้นได้ว่านักลงทุนมีการตอบรับ กรณีการถูก “ปรับลดน้ำหนัก” จาก MSCI ไปหมดแล้ว..!!?

Back to top button