ปตท.ต้องพึ่งกำไรพิเศษ
ผลประกอบการงวดสิ้นปี 2566 ของปตท.ที่ออกมาแล้วมีกำไรเพิ่มจากรายได้พิเศษ และอัตราแลกเปลี่ยนขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติลดลง 13% ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้หุ้นละ 1.20 บาท
ผลประกอบการงวดสิ้นปี 2566 ของปตท.ที่ออกมาแล้วมีกำไรเพิ่มจากรายได้พิเศษ และอัตราแลกเปลี่ยนขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติลดลง 13% ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้หุ้นละ 1.20 บาท
รายงานผลประกอบการปี 2566 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ปรับลดลง 13% จากปี 2565 โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ที่มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลง
อีกทั้งปี 2566 กลุ่มปตท. มีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลง รวมทั้งผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมปรับลดลงจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยลดลง ประกอบกับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ มีผลการดำเนินงานลดลง
ทั้งนี้จากความร่วมมือของกลุ่มปตท.ในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 13,000 ล้านบาท
ประกอบกับปี 2566 กลุ่มปตท.มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นตามทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่า
ส่งผลให้ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 112,024 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.6 ของยอดขาย โดยสัดส่วนกำไรส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งเป็นธุรกิจที่แข่งขันเสรีทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนั้น ผลของการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ ในต่างประเทศยังไม่เกิดผลรับเชิงบวกมากมายนักและธุรกิจ Non-Oil เช่น กาแฟ และร้านสะดวกซื้อ ที่มีกำไรต่อรายได้แค่เพียง 1%
ขณะที่เป็นกำไรจากการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของบริษัทย่อยก็ลดลงไปด้วย
เพียงแต่ผลกำไรพิเศษจากการลงทุนทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนมีกำไรเพิ่มขึ้นมากจนชดเชยกำไรที่หดหายไปได้ ถือว่าเป็นการบริหารพอร์ตได้ดี
กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นทำให้บุ๊กแวลูของปตท. เพิ่มขึ้นเป็น 39.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบริษัทนี้สามารถทำกำไรได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าตลาดปิโตรเลียมและปิโตรเคมีจะเป็นขาขึ้นหรือลง
หุ้นปตท.ยามนี้ จึงถือเป็นหุ้นเสาหลักของตลาดหุ้นไทย