พาราสาวะถี
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งเสาร์และอาทิตย์ มีความคึกคักเกิดขึ้นที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยวันเสาร์ เศรษฐา ถือโอกาสวันหยุดเข้าพบ ทักษิณ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งเสาร์และอาทิตย์ มีความคึกคักเกิดขึ้นที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยวันเสาร์ เศรษฐา ทวีสิน ถือโอกาสวันหยุดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งก่อนเดินทางไปเยี่ยม เจ้าตัวได้สอบถามกับทางอธิบดีกรมคุมประพฤติว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเป็นวันหยุด สุดท้ายก็ไม่มีปัญหา หลังจากใช้เวลาพบปะกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวและตอบทุกคำถาม
แน่นอนว่า ที่ถูกจี้ถามมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องโอกาสในการที่จะเชื้อเชิญอดีตนายกฯ มาร่วมงานทางการเมืองหรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ ไม่มีการคุยกันเรื่องทางการเมือง สิ่งสำคัญที่เศรษฐาย้ำคือ เวลานี้ให้ทักษิณที่วัย 74 ปีแล้วได้ฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน การติ๊ดชึ่งในประเด็นนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เนื่องจากมีการประกาศมาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งแล้วว่า อดีตนายกฯ คนไหนที่ยังมีชีวิตอยู่ตนพร้อมที่จะขอคำแนะนำทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักข่าวพยายามสอบถามจนเศรษฐาต้องย้อนทันควันว่า “ผมไม่ใช่หมอ” เกี่ยวกับอาการป่วยของทักษิณว่าดูจากสภาพร่างกายของทักษิณแล้วคาดว่าจะใช้เวลารักษานานเท่าใดจะหายเป็นปกติ โดยมารยาทแล้วคงไม่มีใครกล้าที่จะถามละลาบละล้วงเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคนที่ไปเยี่ยมมากขนาดนั้น ทั้งนี้ ที่นายกฯ คนปัจจุบันยืนยันคือ อดีตนายกฯ ที่ใส่ที่คล้องแขนไว้นั้นไหล่พอขยับได้ สีหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส ดีใจที่ได้กลับบ้าน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นตามลำดับ
คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หากจะมีการเดินทางไปพบกับอดีตนายกฯ อีกหลายครั้งสำหรับเศรษฐา ซึ่งคงไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่ามีนายกฯ สองหรือสามคน เนื่องจากมีการออกตัวไว้แล้วว่า อดีตนายกฯ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีไหนก็ตาม เชื่อว่าทุกคนก็มีความหวังดีกับบ้านเมือง และทุกเรื่องที่แนะนำจะทำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของบริบทในปัจจุบัน มีขีดจำกัดต่างกันไปต่างสมัยกัน เรื่องนี้ต้องทำใจกว้าง หากเป็นคนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นนั้น แต่ฝ่ายที่เฝ้าจับผิดคงมองไปอีกทาง
ไม่ว่าจะอย่างไร บทบาทของเศรษฐาตั้งแต่ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง จนกระทั่งปัจจุบันผ่านกระบวนการพูดคุย ตกลงและจัดวางบริบทในการทำหน้าที่มาเรียบร้อยแล้ว ให้ทุกอย่างเดินหน้าตามแนวทางที่ได้หารือและมีข้อสรุปร่วมกันทั้งในส่วนของพรรคแกนนำ และการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยประเด็นนายกฯ ซ้อนนายกฯ ที่สื่อพยายามถามนั้น ล่าสุด แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็ย้ำอีกว่า ขอให้เศรษฐาทำหน้าที่ของเขาไปดีหรือไม่ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่
เป็นธรรมดาของฝ่ายที่ต้องการเสี้ยมเพื่อด้อยค่าคนที่ทำหน้าที่นายกฯ ทำให้เห็นว่าเป็นการทำงานภายใต้การชี้นำของคนชื่อทักษิณ และอยู่ภายในแรงกดดันของพรรคเพื่อไทย หากเป็นการเมืองก่อนยุคของความขัดแย้งแตกแยกอาจเป็นเช่นนั้น แต่ประเทศได้ผ่านบทเรียนที่บอบช้ำมาอย่างแสนสาหัสแล้ว ทั้งอดีตนายกฯ และพรรคแกนนำรัฐบาลได้สรุปบทเรียน และผ่านกระบวนการเจรจาก่อนที่จะเกิดการพลิกขั้วตั้งรัฐบาลแล้วว่า บ้านเมืองต้องเดินไปในทิศทางใด
สำหรับความเคลื่อนไหวที่ทำให้บรรยากาศบ้านจันทร์ส่องหล้าคึกคักลำดับถัดมานั้นคือ เย็นวันอาทิตย์ที่ครอบครัวชินวัตรนัดรับประทานอาหารร่วมกัน 5 พ่อแม่ลูก มีทั้ง คุญหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อุ๊งอิ๊ง “เอม” พิณทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ถือเป็นการอยู่กันพร้อมหน้าที่บ้านซึ่งเคยอบอุ่นหลังเวลาผ่านไปนานถึง 17 ปี ด้วยแรงใจเช่นนี้น่าจะเป็นผลทำให้อาการป่วยของอดีตนายกฯ ดีวันดีคืน ซึ่งจะส่งผลถึงบรรยากาศทางการเมืองด้วย
อันหมายถึงบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาล แกนนำพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล จะได้เดินทางไปเยี่ยมกันถี่ขึ้น โดยเฉพาะบรรดาแกนนำและ สส.ของพรรคเพื่อไทย ที่อุ๊งอิ๊งยืนยันเองว่าเพื่อเป็นผลทางใจทั้งทักษิณและบรรดาสมาชิกทั้งหลาย ต้องมีโอกาสได้พบหน้ากัน รอเพียงแค่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้บรรดากองเชียร์ทั้งหลายชุ่มชื่นหัวใจกันแล้ว ขณะที่การพบกันของเศรษฐากับอดีตนายกฯ นั้น อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคแกนนำรัฐบาลถึงขนาดบอกว่า หอมกลิ่นความเจริญโชยมา
คงไม่แปลกที่จะพูดเช่นนั้น เพราะ สส.รายนี้คือคนที่บินไปสัมภาษณ์ทักษิณที่ฮ่องกงก่อนจะเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดงจนปรากฏเป็นข่าวใหญ่ ก่อนที่จะบินกลับประเทศไทยหนแรกและปรากฏภาพประวัติศาสตร์ที่อดีตนายกฯ ก้มกราบแผ่นดินที่สนามบินสุวรรณภูมิหลังเดินทางมาถึงบ้านเกิด เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ดังนั้น การส่งสัญญาณเช่นนี้ จึงเป็นการสร้างอารมณ์ร่วม และปลุกความฮึกเหิมให้กับผู้ที่สนับสนุนทักษิณและพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี
อีกด้าน ยิ่งข่าวคราวของทักษิณได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยดึงความสนใจและมีเวลาให้เศรษฐาได้ขยับตัวทำอะไรอีกหลายเรื่องในลักษณะเร่งทำแต้ม เก็บคะแนนเพื่อเพิ่มความนิยมให้กับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกันก็จะสร้างแรงกดดันต่อการทำงานของพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล เพราะจากที่เคยตั้งหน้าตั้งตาจับผิด วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเศรษฐาและคณะ ยังต้องหามุมที่จะจัดการกับการแย่งพื้นที่สื่อในส่วนของทักษิณด้วย จากที่เคยใช้ความช่ำชองในโลกโซเซียลสร้างคะแนนนิยมแต่เพียงผู้เดียว เวลานี้มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อมาต่อกรแล้ว
กรณีการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลตั้งแต่ดิจิทัลวอลเล็ต จนมาถึงการประกาศวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” มุ่งเป็นผู้นำใน 8 ด้านของเศรษฐาล่าสุด ที่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลชี้ว่าไม่มีอะไรใหม่นั้น ทางเพื่อไทยก็ตอกกลับนิ่ม ๆ ขอให้ลงในรายละเอียดว่าสิ่งใหม่ใดที่รัฐบาลควรทำ หรือสิ่งใหม่ใดที่ไม่ควรทำ การบอกว่ามีอะไรใหม่หรือไม่มีอะไรใหม่ แต่ขาดการเสนอแนะ อาจถูกมองได้ว่าจ้องแต่จะตำหนิรัฐบาลโดยไม่มีข้อแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์ คนที่ไม่เคยทำแล้วอยากทำกับคนที่เคยทำมาแล้วสำเร็จ เวลาพูดความน่าเชื่อถือย่อมต่างกัน