พาราสาวะถีอรชุน
เรามาถึงจุดนี้ได้ไง “ปฏิวัติกลัวปฏิทิน” กลายเป็นวลีที่คนไทยกำลังพูดกันฮิตติดปาก ทำให้คณะรัฐประหารถูกมองอย่างดูแคลนว่ามันอะไรกันนักหนา ทำปัญหาเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่ และมันใช่เรื่องหรือนั่นที่จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับแค่การแจกปฏิทินของอดีตนายกรัฐมนตรีสองพี่น้องตระกูลชินวัตร กลายเป็นว่าจากเดิมที่มีข่าวทักษิณทำปฏิทินแจกคนก็เฉยๆ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ
เรามาถึงจุดนี้ได้ไง “ปฏิวัติกลัวปฏิทิน” กลายเป็นวลีที่คนไทยกำลังพูดกันฮิตติดปาก ทำให้คณะรัฐประหารถูกมองอย่างดูแคลนว่ามันอะไรกันนักหนา ทำปัญหาเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่ และมันใช่เรื่องหรือนั่นที่จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับแค่การแจกปฏิทินของอดีตนายกรัฐมนตรีสองพี่น้องตระกูลชินวัตร กลายเป็นว่าจากเดิมที่มีข่าวทักษิณทำปฏิทินแจกคนก็เฉยๆ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ
พอบรรดาเหล่าผู้มีอำนาจที่ไล่เรียงมาตั้งแต่หัวขบวน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขยับด้วยท่วงทำนองไม่พอใจ ทำให้ปฏิทินดังว่าจากที่แจกกันธรรมดา กลายเป็นของมีมูลค่าคนต้องการกันมากขึ้นมาเสียอย่างนั้น นี่กระมังที่เขาเรียกว่าชั้นเชิงทางการเมืองอันอ่อนหัด ในยามที่คะแนนนิยมสูงปรี๊ดพูดอะไรไปคนก็เชื่อคนก็ฟัง แต่มาวันนี้ในยามที่ปากท้องคนเริ่มมีปัญหา เอ่ยวาจาใดออกไปก็ไม่มีใครฟัง
คงโทษใครไม่ได้ ยิ่งได้ยินคนบางพรรคออกมาพูดเปรียบเทียบปฏิทินของตัวเองที่ดีเลิศประเสริฐศรี ไม่เหมือนของอดีตนายกฯ สองพี่น้องที่คนหนึ่งหนีคดีกับอีกคนเป็นจำเลยในคดีจำนำข้าว คงต้องย้อนถามกลับไปยังคนที่พูด ผู้ที่ตกเป็นจำเลยโดยที่ศาลยังไม่ตัดสินเขาเรียกว่าคนผิดแล้วอย่างนั้นหรือ พฤติกรรมเอาดีเข้าตัวนี่ไม่มีใครเกิน
ถูกต้องแล้วที่บิ๊กตู่จะไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองแห่งนี้เปิดประชุมตามที่ร้องขอ คงพอจะเห็นทิศเห็นทางกันบ้าง หากปล่อยให้สุมหัวแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ไม่นับรวมจะกลายเป็นกรณีเปรียบเทียบแล้วจะมีข้อเรียกร้องจากพรรคการเมืองอื่นๆ ตามมา ถ้าไม่คิดกันมากบทเรียนจากการกลัวปฏิทิน(ฮา) น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจผู้มีอำนาจว่า กระแสหรือความนิยมที่มีต่อ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นเป็นอย่างไร
ถ้าจะบอกว่านี่เป็นการหยั่งเชิงก็น่าจะรู้แล้วว่าควรจะต้องเดินเกมกันอย่างไร หากเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความปรองดอง เหมือนอย่างที่หัวหน้า คสช.รับลูกจาก มีชัย ฤชุพันธุ์ พร้อมใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการเดินหน้าสู่ความปรองดองนั้น ความยุติธรรมกับทุกพวกทุกฝ่ายจะต้องเกิดขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ผู้มีอำนาจจะต้องไม่นำพาตัวเองไปเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
มองหนทางการปฏิรูปประเทศโอกาสที่จะเห็นผลเป็นรูปธรรมคงลำบาก เพราะขนาดการอภิปรายเพื่อเสนอความเห็นต่อ กรธ.ในการร่างรัฐธรรมนูญ ยังพบว่าวิปสปท.เล่นบทมักง่ายไปตัดแปะเอาร่างรัฐธรรมนูญในมาตรา 264 ถึงมาตรา 267 ของคณะกรรมาธิการยกร่างชุดบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มายัดเป็นข้อเสนอของสปท. 4 ประการ
จนถูก เสรี สุวรรณภานนท์ จับผิดและแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้คณะกรรมาธิการแต่ละชุด นำเรื่องกลับไปพิจารณาก่อนที่จะอภิปรายเพื่อเสนอความเห็นไปยัง กรธ.น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า ทำงานกันแบบนี้แล้วหวังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น นิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนาที่ได้เข้าไปนั่งเป็น สปท. ก็คงได้รู้เช่นเห็นชาติรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของบรรดาผู้ได้ดิบได้ดีจากการลากตั้งทั้งหลาย ไม่ได้มีความสนใจใส่ใจต่อการปฏิรูปด้านการเมืองแม้แต่น้อย ยังดีที่ว่าคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการเมืองที่มีเสรีนั่งเป็นประธานขยับในเรื่องดังกล่าว จึงทำให้ภาคการเมืองไม่ตกขบวนรถไฟปฏิรูป
แต่ก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่คณะกรรมาธิการชุดของเสรีเสนอก็ใช่ว่าจะได้รับการตอบสนอง ทางที่ดีต้องเป็นความร่วมมือของพรรคการเมืองทุกพรรค ในการที่จะผนึกกำลังกันแสดงพลังให้คนที่ยกร่างรัฐธรรมนูญได้เห็นความสำคัญ การไม่ให้ราคาสัมผัสจับต้องกันมาแล้วจากคำให้สัมภาษณ์ของมีชัยที่ระบุว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีกลไกขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบทั้งในหน้าที่และการเลือกตั้ง เพื่อทำให้การเมืองบริสุทธิ์ ประเทศเดินหน้าไปได้
ก่อนที่จะวกกลับมาเรียกร้องว่า ใครที่บิดเบือนจนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดไม่ผ่านประชามติร่างรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบ จนทำให้เกิดการเรียกแขกถูกย้อนศรมาจากหลายฝ่าย ที่เห็นชัดๆคือ วรชัย เหมะ กระตุกเตือน อย่าดูถูกประชาชน เพราะยุคสมัยนี้จะไม่ยอมให้ใครเอาเชือกมาร้อยจมูกได้ง่ายๆ เรียกได้ว่า ถ้าอยากจะสนตะพายก็ทำได้แต่พวกเดียวกันที่พร้อมให้จูงจมูกเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่า การร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่ได้นำประเทศไปสู่การปรองดอง แต่เสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งหนักเข้าไปอีก เพราะตราบใดที่การร่างรัฐธรรมนูญยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขประชาธิปไตยแบบไทยๆที่เชื่อว่าประชาชนยังโง่จนเจ็บและไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะทำให้ทุกฝ่ายเห็นดีเห็นงามกับผู้มีอำนาจ
ขณะที่ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน จะเป็นบทพิสูจน์คนที่ถูกกดทับด้วยคำขู่ของกฎหมายพิเศษว่าจะอดทนกันได้กี่น้ำ วันนี้ฮึ่มๆมาจากชาวสวนยาง 17 จังหวัดภาคใต้ ทนไม่ไหวแล้วกับราคายางพาราที่ตกต่ำเหลือ 4 กิโลไม่ถึงร้อย จึงนัดหมายชุมนุมกันในวันที่ 12 มกราคมนี้แน่นอน โดยไม่สนใจว่าฝ่ายผู้มีอำนาจจะใช้กฎหมายใดมาห้ามทัพก็ตาม
การหมดความอดกลั้นนั้นถึงขนาดที่มี สิงห์สยาม มุกดา ชาวสวนยางพารา ออกมาเสือกไสไล่ส่งบิ๊กตู่ ถ้าไม่มีน้ำยาที่จะแก้ปัญหาก็ขอให้ออกไป จะออกไปโดยดีหรือจะให้ประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่ก็เลือกเอา พร้อมๆกับยืนยันว่า การนัดชุมนุมนั้นเป็นการต่อสู้โดยสงบ ไม่มีอาวุธและไม่มีกลุ่มการเมืองใดๆอยู่เบื้องหลัง
คงต้องดูกันท่วงทำนองที่ขึงขังเมื่อถึงเวลาจะทำตามคำขู่ดังว่าหรือเปล่า เพราะล่าสุดท่านผู้นำก็ประกาศกร้าว ชาวสวนยางชุมนุมไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมต้องถูกดำเนินคดีด้วย ย้ำรัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องได้เพราะไร้ปัญญาหางบประมาณมาดูแล ก่อนจะแนะนำให้ชาวสวนยางหันไปปลูกสตรอเบอรี่และกล้วยหอมแทน นี่คือวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่านผู้นำเหมือนๆกับการจะส่งยางพาราไปขายที่ดาวอังคาร