พาราสาวะถี

ยืนยันจาก เศรษฐา ทวีสิน หลังเสร็จสิ้นภารกิจจากการไปต่างประเทศ กลับมาถึงประเทศไทยวันที่ 14 มีนาคม ไม่เกินวันที่ 16 มีนาคม จะมีการแถลงผลงานรอบ 6 เดือน


ยืนยันจาก เศรษฐา ทวีสิน หลังเสร็จสิ้นภารกิจจากการไปต่างประเทศ กลับมาถึงประเทศไทยวันที่ 14 มีนาคม ไม่เกินวันที่ 16 มีนาคม จะมีการแถลงผลงานรอบ 6 เดือนโดยจะเน้นไปที่ผลงานหลังเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะการเชิญชวนนักธุรกิจมาลงทุนในประเทศไทยว่าสำเร็จไปถึงขั้นตอนไหน เนื่องจากมีเสียงสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศบ่อยแต่ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม จึงจะใช้จังหวะนี้ชี้แจงให้ละเอียด  

ไม่เพียงเท่านั้น เศรษฐายังบอกด้วยว่า นอกเหนือจากการแถลงชี้แจงแล้ว หากยังมีอะไรที่ไม่ชัดเจนให้บอกมา ทำให้ได้ก็จะทำ เพราะไม่อยากถูกต่อว่าโดยไม่มีความจริง และเป็นหน้าที่ที่ตนและรัฐบาลต้องชี้แจง อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ว่าฝ่ายค้านตำหนิรัฐบาลไร้ผลงานนั้น เจ้าตัวบอกว่าให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ให้ผลจากการทำงานเป็นเครื่องพิสูจน์ เชื่อแน่ว่ามีหลายเรื่องที่ประชาชนได้รับประโยชน์ไปแล้ว และกำลังจะได้รับประโยชน์อีกหลายอย่างตามมา

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่เศรษฐาได้รับปากกับประชาชนเมื่อถูกถามว่าจะได้เงิน 1 หมื่นบาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ คำตอบคือ “ได้ครับ ได้แน่นอนครับ” จึงเป็นอีกเรื่องที่น่าจะมีความชัดเจนอย่างเร็วภายในสิ้นเดือนนี้หรือไม่ก็ต้นเดือนหน้า ซึ่งความเป็นไปได้น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกลากตั้งได้ซักฟอกตามมาตรา 153 นั่นก็คือ หลังจากวันที่ 25 มีนาคมไปแล้ว

แต่การลากยาวโครงการออกไปด้วยเหตุผลความรอบคอบ รับฟังเสียงสะท้อนจากทุกด้าน ก็อาจจะไม่ใช่เหตุที่ทำให้พวกลากตั้งยกเว้นจะไม่นำมาซักฟอกได้ มีข่าวแว่วมาว่าจากการที่ได้คลุกคลีกับพวกใช้เล่ห์กลทางกฎหมาย และมีส่วนสุมหัวกับเนติบริกรผู้เขียนกฎ กติกาเพื่อการอยู่ยาว ทำให้พวกขาประจำจะยกเอาประเด็นการเตรียมออก พ.ร.บ.กู้เงินมาดักคอรัฐบาล โดยชี้ให้เห็นว่าหากยังใช้วิธีการเช่นนี้จะเป็นการเดินหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย อภิปรายเปิดทางไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้มีคนไปยื่นร้องทันทีที่เศรษฐาและรัฐบาลดำเนินโครงการ

วิธีการเช่นนี้ไม่แน่ใจว่ายังจะใช้ได้ผลอีกหรือไม่ ที่ผ่านมาในยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจมีบารมีล้นเหลือ อาจจะเกิดการส่งต่อรับไม้กันระหว่างพวกลากตั้ง หรือเครือข่ายนักร้อง และองค์กรที่พร้อมจะเป็นผู้สนองความต้องการของอำนาจเผด็จการและเผด็จการสืบทอดอำนาจ หลังจากที่เกิดความเปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ดูเหมือนว่าชะตากรรมของคนบางองค์กรตกอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง ไม่มีใครมาคอยคุ้มกะลาหัวเหมือนก่อนหน้า

ไม่เพียงแต่กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้เปิดเผยข้อมูลแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อนของ ป.ป.ช.ที่จนถึงนาทีนี้ยังดื้อแพ่งไม่ยอมดำเนินการตามคำสั่งศาล จนเกิดการยื่นฟ้องและอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี ไม่รู้ว่าบทสรุปที่ออกมาจะหมู่หรือจ่า ใครจะติดคุกตอนแก่หรือไม่ ในคดีโรดโชว์ไทยแลนด์ 2020 ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมพวกทั้งบุคคลและนิติบุคคลถูก ป.ป.ช.ฟ้องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ล่าสุด ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว

พร้อมกับการถอหมายจับของยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องไปไกลถึงขั้นที่ว่าอดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย จะได้เดินทางกลับบ้านเกิดตามรอย ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายในเร็ววันนี้หรือไม่ คดีนี้จะกลายเป็นที่จับตาและวิพากษ์วิจารณ์ไปในทุกแวดวง ตกลงสิ่งที่ยิ่งลักษณ์และคนร่วมรัฐบาลที่ถูกเผด็จการ คสช.ยึดอำนาจนั้น มีกระบวนการตรวจสอบ และเอาผิดที่รอบคอบ รัดกุมหรือไม่ มีแรงกดดันอื่นมาทำให้การพิจารณารวบรัด และเป็นไปตามธงที่วางกันไว้หรือเปล่า

ยิ่งมีกรณีเปรียบเทียบกับคดีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน มันส่อให้เห็นพิรุธในกระบวนการที่ชัดเจน นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้มองกันว่า ถ้าไม่โง่ดักดานจนมองไม่เห็นว่าสถานการณ์แห่งอำนาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พวกลากตั้งขาประจำก็จะเดินเกมกันแบบเดิม ๆ เพิ่มเติมคือ หนนี้จะไม่มีตัวช่วยเหมือนอดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ หากใครขืนดันทุรังโดยไม่แยแสเสียงประชาชน มันก็เท่ากับเป็นการฮาราคีรีตัวเองดี นี่เอง

จะว่าไปเรื่องโครงการโรดโชว์ที่ศาลยกฟ้อง ตัวชี้วัดสำคัญที่ทำให้ศาลสามารถชี้ให้เห็นความโปร่งใสในกระบวนการทำงาน คงเป็นกรณีหลังเกิดเหตุรัฐประหาร เลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ จึงอนุมัติเบิกจ่าย สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ

ต้องยอมรับความจริงว่า ผลพวงจากการรัฐประหารสองรอบนั้น ความเชื่อถือที่มีต่อองค์กรอิสระที่เคยถูกกล่าวหาว่าถูกแทรกแซงในยุคของระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ ต่ำเตี้ยเรี่ยดินยิ่งกว่าคณะกรรมการและองค์กรอิสระในยุคที่ถูกตั้งข้อกังขาเสียอีก ยิ่งยุคหลังเผด็จการ คสช.บางองค์กรถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจจากคนส่วนใหญ่ ทั้งในฐานะเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม และกลไกในการอุ้มชูขบวนการสืบทอดอำนาจ แต่กับปัจจุบันบางองค์กรพยายามที่จะเรียกคืนศรัทธาให้ตัวเอง ส่วนบางพวกบางองค์กรก็กำลังจะถูกจัดระเบียบด้วยกระบวนการยุติธรรมที่แท้จริง

นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายการเมือง แทบจะทุกส่วนที่เคยถูกจัดระเบียบโดยเผด็จการ คสช.และเผด็จการสืบทอดอำนาจกำลังจะกลับคืนสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะมีการปรับตัวกันอย่างไร ก็ยังเหลือบางพวกบางองค์กรที่ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง อาจจะด้วยความเชื่อมั่นว่าไม่มีอำนาจใดจะมาสั่งการหรือจัดการพวกตัวเองได้ แต่คงลืมไป อำนาจนั้นมันมีทั้งในและนอกระบบ เช่นเดียวกับเรื่องมือที่มองไม่เห็น เพราะนี่คือประเทศไทย อย่าคิดว่าข้าแน่ พวกที่คิดแบบนี้จุดจบไม่สวยแทบทุกราย

Back to top button