หุ้นเด่นเดือน มี.ค.
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หากดูจากกราฟร่วงลงมาเป็นอีก 5–6 ตัวเลย หลังจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปแตะระดับ 1,400-1,405 จุด แล้วยืนเหนือ 1,400 จุดไม่ได้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
หากดูจากกราฟร่วงลงมาเป็นอีก 5–6 ตัวเลย
หลังจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปแตะระดับ 1,400-1,405 จุด แล้วยืนเหนือ 1,400 จุดไม่ได้
ส่วนแรงซื้อต่างชาติก่อนหน้านี้นั้น
เคยบอกแล้วว่า ต้องดูนาน ๆ เป็นสัปดาห์ เพราะซื้อเพียงแค่ 3-4 วันติดต่อกัน ยังวัดอะไรไม่ได้
ทำให้ดัชนีหุ้นไทยถูกประเมินว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,375-1,400 จุดไปอีกพักใหญ่
ล่าสุด กรอบล่างของดัชนี ถูกปรับลงมาอยู่ที่ 1,350 จุด แล้ว หรือมีการให้กรอบเคลื่อนไหวดัชนีใหม่อยู่ระหว่าง 1,350–1,400 จุด
ดัชนีระดับ 1,350 จุด ถูกมองว่า มาจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้มีการรับรู้ไปหมดแล้ว
เรื่องนี้ บล.ทิสโก้ ได้สรุปออกมามี 5 ปัจจัย (กดดัน)
คือ 1.อัตราดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลง แม้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ถูกหั่นลงมาที่ระดับประมาณ 3% แต่ยังเป็นอัตราเติบโตดีสุดในรอบ 5 ปี โดยการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 คาดว่าเกิดขึ้นได้ภายในเดือน พ.ค. นี้ จะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้
ส่วนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คาดว่าจะลดลง
ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะถูกปรับลดลง 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปี
การลดดอกเบี้ยลงทุก ๆ 0.25% จะช่วยเปิดโอกาสการปรับขึ้นราว 45 จุด หรือ +3% สำหรับดัชนีหุ้นไทย
2.ตลาดเริ่มยอมรับว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลงได้ช้า
จากการปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดจะเกิดขึ้นจากเดิมเดือน พ.ค. เป็นเดือน มิ.ย.
และโอกาสการลดดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 3 ครั้ง เท่ากับ Dot Plot ของเฟดในเดือน ธ.ค.และช่วงต้นปีนี้ที่ตลาดคาดจะลดมากถึง 6 ครั้ง
3.ตลาดหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังตรุษจีน ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นการขานรับทางการจีนทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนถือเป็นความหวังเชิงบวกของตลาดหุ้นไทยด้วย
เพราะนอกจากเศรษฐกิจไทยจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนในระดับสูงแล้ว ภายหลังการระบาดของโควิด-19 หรือนับตั้งแต่ปี 2564
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนและไทยมีความสัมพันธ์เชิงบวกมากขึ้น
โดยมีคำแนะนำให้ติดตามการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทางเศรษฐกิจในปี 2567
4.การยกระดับการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) ของตลาดหลักทรัพย์
มาตรการที่ออกมาใหม่จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดในระยะยาว และน่าจะกระตุ้นแรงซื้อคืนในตลาดในระยะสั้น
สังเกตจากเริ่มเห็นแรงขายของต่างชาติชะลอตัวสลับกับมีการซื้อคืน
จนทำให้พลิกกลับมามียอดซื้อสุทธิสะสมเกือบ 3,000 ล้านบาทเป็นเดือนแรกในรอบ 1 ปี
สอดคล้องกับกระแสเงินทุนไหลเข้าที่กระจายไหลเข้าตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคมากขึ้นครบทั้ง 7 ตลาด (เกาหลีใต้, ไต้หวัน, อินเดีย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย) โดยไหลเข้าในเดือน ก.พ.ราว 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นการไหลเข้าเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
และ 5.การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
แม้ว่าการประกาศงบไตรมาสที่ผ่านมาแม้ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด
แต่ด้วยกำไรไตรมาส 4/2566 ของหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวถูกล้างบางจากผลขาดทุนในรายการพิเศษจำนวนมาก ทำให้การหั่นประมาณการ EPS ในปีนี้และปีหน้าอาจผ่านจุดต่ำไปแล้ว เริ่มเห็นสัญญาณประมาณการ EPS ถูกปรับขึ้นมาอ่อน ๆ แล้วในช่วงปลายเดือน ก.พ.
นี่คือ บทสรุปที่ว่า ดัชนีหุ้นไทยกำลังตั้งหลักใหม่ และมีกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,350-1,405 จุด
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจจะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก บวกกับมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทำให้เป็นหุ้นเด่นในเดือน มี.ค.นี้ เช่น BDMS, CENTEL, CPALL, CRC, MINT, SCB, TTB และ TU