พาราสาวะถี
ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับการที่ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านประกาศยื่นอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ
ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับการที่ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านประกาศยื่นอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ซักฟอกลดทอนความน่าเชื่อถือ สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นกับรัฐบาล เมื่อมองเงื่อนเวลาที่จะยื่นและกรอบเวลาที่วางไว้เพื่อจะขอให้เปิดประชุมตามญัตติดังกล่าวคือ 3-5 เมษายนนี้ ถือว่ากระชั้นชิดจวนจะปิดสมัยประชุมเต็มแก่
การเลือกอภิปรายเช่นนี้โดยไม่ใช่การซักฟอกแบบลงมติ อย่างหนึ่งที่ เศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลสบายใจได้คือ ไม่มีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และจะถือว่าการเสนอญัตตินี้ของฝ่ายค้านเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลได้ชี้แจงผลการทำงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาเสียมากกว่า และจะเป็นความต่อเนื่องเพราะ 25 มีนาคมนี้ รัฐบาลก็จะต้องไปชี้แจงญัตติอภิปรายของพวกลากตั้งตามมาตรา 153 เรียกได้ว่า ถ้าไม่มีหมัดเด็ดประเภทโป้งปิดบัญชี แทนที่จะเป็นเวทีเล่นงานก็จะเป็นเวทีแสดงผลงานเสียมากกว่า
พอจะเข้าใจได้การยื่นในลักษณะแบบนี้ของพรรคก้าวไกลและฝ่ายค้าน ถือเป็นการรักษาสิทธิเพื่อไม่ให้สูญเปล่าเสียมากกว่า ฟังจากชัยธวัชชี้แจงประเด็นที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านวางไว้เบื้องต้น มองแล้วน่าจะเป็นเรื่องการอภิปรายโดยใช้ความรู้สึก และแสดงความเห็นของแต่ละคน แต่ละฝ่ายเป็นด้านหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารเป็นเวลาประมาณเกือบครึ่งปีแล้ว แต่พบว่าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และเพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายของตนเอง
ไม่มีการขับเคลื่อนนโยบายและการแก้ปัญหาของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ปล่อยปละละเลยให้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งในประเทศและนอกประเทศเอารัดเอาเปรียบประชาชน ปล่อยให้ข้าราชการมีการเรียกรับผลประโยชน์รีดไถประชาชน หลักนิติธรรมถูกทำลายด้วยการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม บริหารประเทศอย่างไร้จริยธรรม ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ และไร้วุฒิภาวะ คำแก้ต่างแบบเบสิกของรัฐบาลคือ ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ยังไม่มีงบประมาณที่จะบริหารได้เองแม้แต่สตางค์เดียว
การขับเคลื่อนตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณ ซึ่งงบปี 2567 หากนับถึงช่วงเวลาที่ฝ่ายค้านซักฟอก น่าจะยังไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาของพวกลากตั้งเสียด้วยซ้ำ ในทางตรงข้าม กระบวนการแก้ปัญหาทั้งที่ไม่มีเงินทำงาน อาศัยเพียงนโยบาย และการบริหารจัดการเป็นหลักในมุมมองของประชาชนอาจจะเห็นว่า รัฐบาลเศรษฐาได้ทำให้เห็นอนาคตมากกว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาเสียอีก
ส่วนประเด็นหลักนิติธรรมถูกทำลายด้วยการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมนั้น ต้องถามกลับไปยังฝ่ายค้านว่าใช่เรื่องของ ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ซึ่งคงหนีไม่พ้นเป็นกรณีนี้ ตรงนี้ยิ่งไม่ได้ทำให้รัฐบาลหนักใจ เพราะหยิบเอาประเด็นเรื่องการพักโทษมันก็มีคำอธิบายตามหลักการของข้อกฎหมาย และระเบียบวิธีการทุกอย่าง หากย้อนไปไกลกว่านั้นคือ การกลับมารับโทษแล้วได้รับการอภัยโทษก็ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลปัจจุบันจะต้องเป็นผู้ตอบคำถาม
เนื่องจากกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ นั่นหมายความว่า มีพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็น 1 ในพรรคฝ่ายค้านปัจจุบันรวมอยู่ด้วย น่าจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้แทนรัฐบาลว่า เหตุใดผู้นำในรัฐบาลขณะนั้น จึงได้เสนอเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ทำไปทำมาจะกลายเป็นหยิกเล็บเจ็บเนื้อ เข้าตัวไปเสียฉิบ ยิ่งหากฝ่ายค้านมอบหมายหน้าที่ในการพาดพิงถึงอดีตนายกฯ เป็นเรื่องของพรรคเก่าแก่ยิ่งไปกันใหญ่ จะกลายเป็นว่ายังคงใช้ความแค้นส่วนบุคคลที่มีมาแต่อดีตตามราวีคนอีกฝั่งไม่เลิก
แน่นอนว่า ย่อมสวนทางกับเสียงของคนส่วนใหญ่ที่วันนี้ได้ก้าวข้ามทักษิณไปแล้ว ไม่มีใครประสงค์ที่จะให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นมาอีก เหมือนกรณีปราบมาเฟีย หรือยาเสพติด อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ประเดิมการตอกกลับฝ่ายค้านแบบนิ่ม ๆ ของพวกนี้เขาไม่โชว์กัน ล่าสุด ตนได้ไปตรวจการจับกุมยาเสพติด 10 ล้านเม็ดที่ปทุมธานี ทางตำรวจยังไม่ให้ดูกล้องวงจรปิด เนื่องจากเป็นความลับ
ของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ สั้น ๆ แต่ได้ใจความ นอกจากนั้น เสี่ยหนูยังย้อนถามกับนักข่าวว่า ทุกวันนี้ปัญหายาเสพติดในสถานบันเทิงน้อยลงหรือไม่ และผับเปิดน้อยลงหรือไม่ “ถ้าน้อยลงแปลว่ามันเวิร์คอยู่” จะว่าไปแม้ว่าเพื่อไทยจะถูกตราหน้าตระบัดสัตย์ และพลิกขั้วมาจับมือกับพรรคที่ส่วนใหญ่เคยร่วมงานกับรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่อย่าลืมว่ารัฐบาลก่อนหน้านั้นก็มีปัญหาเขม่นกันข้ามพรรคอยู่ ซึ่งก็คือพรรคภูมิใจไทยของเสี่ยหนูกับประชาธิปัตย์นั่นเอง จึงน่าสนใจเมื่อยืนอยู่กันคนละฝ่ายแล้วจะมีการสาวไส้กันมันหยดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในซีกของเพื่อไทย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ มองอย่างเข้าใจฝ่ายค้านต้องใช้สิทธิที่จะอภิปรายตรงนี้ไว้ก่อน รัฐบาลคงไม่ต้องไปตื่นตระหนก หรือเตรียมการรับมือการยื่นอภิปรายอะไรเป็นพิเศษ ถ้าฝ่ายค้านไม่ยื่นอภิปราย รัฐบาลก็จะได้เดินหน้าทำงานต่อไป ถ้าฝ่ายค้านขอยื่นอภิปราย รัฐบาลก็มาชี้แจงตอบคำถาม มองในมุมบวกถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะได้มีเวทีชี้แจงการทำงานกับประชาชนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง มองมุมไหนก็เป็นประโยชน์
ภาคส่วนประชาชนคงต้องเฝ้ามอง เมื่อฝ่ายค้านที่มีพรรคแกนนำได้ชื่อว่าเป็นความหวังของการเมืองรูปแบบใหม่ จะทำหน้าที่ในลักษณะของการชี้แนะ เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์หรือไม่ เหมือนที่อนุสรณ์ว่า ขอเพียงแต่ว่าการอภิปรายจะไม่นำไปสู่การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งขึ้นในสังคม การอภิปรายครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าฝ่ายค้านยุคนี้ จะเป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ หรือฝ่ายค้านที่ขอแค่ให้ได้สวนรัฐบาลไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่สนหลักการหรือไม่ได้ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ประชาชนไม่ได้มองแค่ว่ารัฐบาลทำงานได้ดีหรือไม่ แต่ก็ดูฝ่ายค้านเหมือนกันค้านแบบมีสมองหรือค้านหัวชนฝา