TNP ถึงเวลาลงทุน
ถ้าวิเคราะห์ตามตัวเลขเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายเดือน ต.ค. จุดที่มีพัฒนาการดีขึ้น คือด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวเดือน ต.ค. อยู่ที่ 2.37 แสนคน เพิ่มขึ้น 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงไตรมาสก่อน หนุนดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี อยู่ที่ 1.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
–คุณค่าบริษัท–
ถ้าวิเคราะห์ตามตัวเลขเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายเดือน ต.ค. จุดที่มีพัฒนาการดีขึ้น คือด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวเดือน ต.ค. อยู่ที่ 2.37 แสนคน เพิ่มขึ้น 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงไตรมาสก่อน หนุนดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี อยู่ที่ 1.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีการใช้จ่ายภาครัฐปรับเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนเช่นกัน โดยเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 7.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งโดยรวมถือว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และคาดยังเพิ่มขึ้นช่วงที่เหลือของปี จากมาตรการด้านภาษีช่วงปลายปีซึ่งหนุนภาคการบริโภคเพิ่มต่อเนื่อง
ผลดังกล่าวจะส่งผลให้ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP รับอานิสงส์พอสมควร ด้วยบริษัทมีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ “ธนพิริยะ” ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 12 สาขา แบ่งออกเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต 11 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา ซึ่งทุกสาขามีที่ตั้งในจังหวัดเชียงราย
ทั้งนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ากำไรงวดไตรมาส 4 ปี 58 จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนเช่น ประเมินเบื้องต้นคาดอยู่ที่ราว 16 ล้านบาท แม้จะน้อยกว่าคาดเดิมราว 2 ล้านบาท จากอัตราการทำกำไรที่อาจน้อยกว่าคาด แต่ถือว่ากำไรยังเติบโตก้าวกระโดดที่ 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ108% จากงดเดียวกันของไตรมาสก่อน นอกจากนี้คาดกำไรปี 2559 ยังเติบโตโดดเด่นราว 27% จากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวและการเปิดสาขาใหม่อีก 3 แห่ง
TNP รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย ถือเป็นจุดเข้าลงทุนที่ดี!!
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 327.05 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 285.91 ล้านบาท แต่บริษัทกลับมีกำไรลดลงเหลือ 7.68 ล้านบาท หรือ 0.01 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.35 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น
ส่วนผลการดำเนินงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 957.94 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 890.11 ล้านบาท แต่บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 22.44 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 32.95 ล้านบาท หรือ 0.16 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลงเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายการขายและบริหารจากการเปิดสาขาและเพื่อรองรับการเปิดสาขาใหม่ของบริษัท
สิ่งสำคัญเมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 197.97 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียน 199.37 ล้านบาท ได้ค่า Current Ratio อยู่ที่ระดับ 1 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมากพอสมควร
ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวม 199.37 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 200.09 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 1 เท่า แสดงว่า ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่พอรับได้ และถือว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานเท่าไร
ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล. เอเซีย พลัส เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันหลังปรับฐานแรงได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและยังอยู่ในจุดที่น่าสนใจอีกครั้ง พร้อมมี upside จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2559 ที่ 1.90 บาท ยังยืนยัน “ซื้อ”
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ 245,000,000 หุ้น 30.63%
2.นางอมร พุฒิพิริยะ 245,000,000 หุ้น 30.63%
3.นายธนภูมิ พุฒิพิริยะ 30,000,000 หุ้น 3.75%
4.นายธนะพงศ์ พุฒิพิริยะ 30,000,000 หุ้น 3.75%
5.เด็กชายธนภัทร พุฒิพิริยะ 30,000,000 หุ้น 3.75%
รายชื่อกรรมการ
1.นายแพทย์ พิษณุ ขันติพงษ์ ประธานกรรมการ
2.นายแพทย์ พิษณุ ขันติพงษ์ กรรมการอิสระ
3.นายแพทย์ พิษณุ ขันติพงษ์ ประธานกรรมการตรวจสอบ
4.นาย ธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ
5.นาย ธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการ