หนี้ครัวเรือนของไทย

การออกมาเปิดเผยล่าสุดของตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยโดยสภาพัฒน์ฯ ที่บอกว่าเข้าขั้นวิกฤตเพราะอัตราส่วนตัวเลขสูงถึง 91.5% ของจีดีพี


การออกมาเปิดเผยล่าสุดของตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยโดยสภาพัฒน์ฯ ที่บอกว่าเข้าขั้นวิกฤตเพราะอัตราส่วนตัวเลขสูงถึง 91.5% ของจีดีพี แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของภาครัฐในการสกัดหนี้ครัวเรือน

คงจะจำกันได้ว่าเมื่อเดือน กรกฎาคม 2566 แบงก์ชาติประกาศแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนโดยออกโรงผ่านช่องยูทูปว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จไม่ให้สูงเกิน 90% ของจีดีพี หลังจากที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้พุ่งทะยานจาก 85% ขึ้นเป็น 90.1%

ในครั้งนั้นแบงก์ชาติได้ออกมาวิเคราะห์ปัญหาหนี้ครัวเรือนของคนไทยว่าเกิดจากตัวเลขที่เพิ่มพูนขึ้นมาจากหนี้สินของกสย.ที่รวมเข้ามา ซึ่งคาดว่าหากมีการจัดการที่ดีจะช่วยลดตัวเลขนี้ลง แต่ตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒน์ฯ กลับทำให้ความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติลดลง

แถมล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ยังเป็นห่วงว่าการเบี้ยวหนี้จะลุกลามไปถึงสินเชื่อรถยนต์ที่ตัวเลขล่าสุดยืนยันว่ามีการติดค้างไม่ผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ในอัตราที่น่าเป็นห่วงและมีการยึดรถคืนถึงเดือนละ 30,000 คัน

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่แพร่กระจายลุกลามน่าเป็นห่วงในยามนี้หากดูตัวเลขที่แท้จริงแล้วยังมีอีกเยอะโดยเฉพาะสินเชื่อนอกระบบที่เคยเป็นตัวหล่อเลี้ยงรากหญ้ามายาวนานเริ่มออกอาการเบี้ยวของบรรดารากหญ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทำให้นายทุนเงินกู้นอกระบบที่เรียกว่าฉลามเงินกู้ (loan shark)  ต้องออกปฏิบัติการทวงหนี้แบบโหด ๆ แม้จะมีกฎหมายห้ามไว้ก็ตาม

ตัวเลขเงินกู้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจนเป็นตัวเลขที่น่าตกใจได้สะท้อนปัญหาการก่อหนี้ของประชาชนไทยซึ่งนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้นเหมือนในสหรัฐอเมริกาที่มีตัวเลขสูงกว่า 200% ของจีดีพี เนื่องจากธุรกิจบัตรเครดิตที่เฟื่องฟู และธุรกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เปิดช่องให้คนก่อหนี้ได้ง่ายมาก

ปัญหาหนี้ครัวเรือนนี้เป็นปัญหาที่ตกค้างในสังคมทุนนิยมที่ด้านหนึ่งเปิดช่องให้นักธุรกิจที่หากินกับสินเชื่อส่วนบุคคลได้มีโอกาสหาลูกค้าที่เป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น และปัญหานี้คงจะแก้ไม่ได้ง่ายนักหากพฤติกรรมการก่อหนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

โดยเฉพาะยามที่อัตราดอกเบี้ยต่ำติดพื้นในตลาดที่เป็นทางการ และวงจรธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลยังไม่ถึงที่สุดเพราะเหยื่อยังมีทางเลือกในการเบี้ยวหนี้ต่อไป

ดังเช่นที่พรรคการเมืองบางพรรค เช่นพรรคภูมิใจไทยประกาศนโยบายหาเสียงพักชำระหนี้ 3 ปี หรือการที่นักการเมืองบางพรรคเสนอให้ยกเลิกการชำระหนี้ “กสย.” ของนักเรียนนักศึกษาที่กู้เงินเรียนและมีพันธะต้องชำระหนี้คืนเมื่อเรียนจบและมีงานทำแล้ว นับเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายสำหรับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะช่วยผลิตราชาเงินผ่อนขึ้นท่วมเมือง

Back to top button