พาราสาวะถี
ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไร้การทักท้วงหรือดักคอใด ๆ คงจะเป็นเรื่องแปลก กับการเตรียมบินไปจังหวัดเชียงใหม่ของ ทักษิณ ชินวัตร
ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไร้การทักท้วงหรือดักคอใด ๆ คงจะเป็นเรื่องแปลก กับการเตรียมบินไปจังหวัดเชียงใหม่ของ ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งจากฝ่ายตรงข้ามทั้งพวกหน้าเดิมขาประจำ ไม่ว่าจะขยับเรื่องไหนเป็นต้องถูกจับผิดอยู่แล้ว สุดท้ายต้องดูความเป็นไปและข้อเท็จจริง สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวหรือมีมิติทางการเมืองแอบแฝง ซึ่งไม่ว่าจะขยับแบบไหนก็หนีไม่พ้นที่จะถูกเหมารวม มัดเข้ากับพรรคเพื่อไทย รัฐบาล และ เศรษฐา ทวีสิน อย่างช่วยไม่ได้
เหมือนกรณีที่เศรษฐาจะเดินทางลงพื้นที่เพื่อดูปัญหา PM 2.5 ในจังหวะเดียวกับที่ทักษิณบินไปเชียงใหม่พอดี ถามว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญเช่นนั้นหรือ แล้วจะห้ามไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่ามีเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคงยาก ทั้งที่ ความจริงหากจะพบปะ หรือหารือกันไม่จำเป็นที่จะต้องบินไปไกลถึงขนาดนั้น โดยที่รู้ว่าถูกจับตามองจากทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ทั้งทักษิณ และเศรษฐา จึงไม่ได้ใส่ใจต่อเสียงค่อนขอดครหา เพราะถ้าไปใส่ใจทุกอย่างก็ไม่เป็นอันต้องทำการทำงาน หรือไปไหนมาไหน
ขณะที่ทักษิณกระแสของการเตรียมต้อนรับทั้งจาก สส.เพื่อไทย และคนเสื้อแดงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ กรณีกองเชียร์ที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคนั้นคงไม่เป็นปัญหา แต่ว่านักเลือกตั้งมีเสียงเตือนมาจาก วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาลและประธาน สส.พรรคเพื่อไทยแล้วว่า อย่าพากันแห่แหนไปต้อนรับในวันที่มีการประชุมสภา เพราะจะถูกกล่าวหาว่าทิ้งภารกิจตามหน้าที่ของตัวเอง ตกเป็นประเด็นทางการเมือง สั่นคลอนต่อภาพลักษณ์รัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ข่าวการขยับตัวของทักษิณที่ถูกปล่อยผ่านบทสัมภาษณ์ของ แพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้วนั้น ถือว่าได้ผลในแง่ของการวัดกระแส หยั่งท่าทีของฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม ประเมินกันแล้วเห็นว่า พวกขาประจำ กลุ่มก้อนที่เคยต่อต้าน ล้มรัฐบาลประชาธิปไตยก่อนหน้านั้นไร้พลังไปแล้ว เหลือเพียงพวกลากตั้งบางคนที่ยังติดหล่มกับดักความเกลียดชัง เกาะกระแสเรียกร้องความสนใจให้กับตัวเองเท่านั้น
ส่วนพรรคฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล จำเป็นที่จะต้องมองข้าม ก้าวผ่านเรื่องทักษิณไป การไปตอแยไม่ได้ก่อประโยชน์ให้กับพรรคของตัวเอง มิหนำซ้ำ ยังอาจจะไปสะกิดหรือทำให้ฝ่ายที่เคยสนับสนุนเพื่อไทยและเชียร์นายใหญ่แต่หันมาเป็นด้อมส้ม กลับไปทบทวนตัวเองด้วยท่าทีของพรรคแกนนำฝ่ายค้านที่เล่นเกมการเมืองไม่ต่างจากพรรคฝ่ายค้านทั่วไป ดังนั้น กรณีทักษิณก้าวไกลจึงปล่อยให้เป็นการแสดงออกของคนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ และพวกลากตั้งขาประจำไป
กระบวนการทำงานของก้าวไกลเวลานี้ มีการแบ่งภารกิจกันเป็น 3 ด้านคือ การสร้างคะแนนนิยมเพื่อรับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ ให้เป็นหน้าที่ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคในการลงพื้นที่ พบปะ แลกเปลี่ยน และหาเสียงในทุกภูมิภาค ร่วมกับ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ที่อีกด้านก็ทำงานกับทีมเก็บข้อมูลของพรรคเพื่อรวบรวมประเด็นสำคัญในการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 152
ด้านงานในสภาผู้แทนราษฎรก็จะเน้นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือหน่วยงานต่าง ๆ แล้วเปิดการแถลงข่าว สร้างเป็นประเด็น เร้าความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่เวลานี้จะเห็น วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกล ใช้ความเป็นประธานกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ตีแผ่เรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ล่าสุด ก็เปิดประเด็นความเดือดร้อนของทหารเกณฑ์ที่ถูกส่งตัวไปเป็นพลทหารรับใช้ตามบ้านนาย
อย่างที่บอกว่าการใช้กลไกของสภาเพื่อการตรวจสอบเป็นงานถนัดของพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้มาว่าน่าสนใจ และหนักแน่นขนาดไหน การเลือกเปิดประเด็นที่ทำให้เห็นภาพของการแบ่งชนชั้น เลือกปฏิบัติ หรือเกิดความเหลื่อมล้ำย่อมสร้างความน่าสนใจ และมีแนวร่วมสนับสนุนจำนวนมาก การกัดไม่ปล่อยสไตล์วิโรจน์ย่อมทำให้ถูกจับตามอง และสามารถเปิดพื้นที่ข่าวได้อยู่แล้ว ซึ่งกรณีนี้ฝ่ายเพื่อไทยก็ปล่อยให้ไหลไปตามกระแส เพราะไม่ได้กระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาล
จึงไม่แปลกที่หลายครั้ง หลายกรณีจะมีการมองว่าก้าวไกลและเพื่อไทยเกี้ยเซียะ รู้เห็นเป็นใจเพื่อแบ่งพื้นที่ข่าวกันหรือไม่ ทั้งที่ความเป็นจริงคงเป็นไปได้ยากที่สองพรรคซึ่งขับเคี่ยวแย่งชิงคะแนนกันตลอดเวลาจะมาสมยอมกันแบบนี้ น่าจะเป็นเรื่องของความจริงที่มันบังเอิญสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายกันเสียมากกว่า ไม่ว่าใครจะเปิดประเด็น หรือตกเป็นเป้าให้เกิดเสียงวิจารณ์ในเรื่องใด แต่สามารถยึดพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อทั้งกระแสหลัก และในโซเซียลได้ ย่อมไม่มีฝ่ายไหนมองว่าเป็นความเสียหาย ถ้าเป็นเรื่องลบก็ทำการแก้ต่างโดยคนที่เกี่ยวข้องก็เท่านั้น
ในทางกลับกัน เมื่อสองขั้วการเมืองหลักสามารถสร้างประเด็น ตกเป็นข่าวใหญ่รายวันได้ตลอดเวลา ย่อมไปลดทอนความน่าสนใจ หรือทำให้พวกที่ต้องการสร้างกระแสไม่ได้รับการติดตามไปเสียฉิบ เหมือนกรณีของพวกลากตั้ง โดยเฉพาะพวกขาประจำที่ต้องการจะปลุกเร้า เรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ติดตามวาระที่พวกตัวเองกำลังจะซักฟอกรัฐบาลในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ล่าสุด ก็มีบางรายพยายามสร้างกระแสด้วยการให้ความเห็นต่อประเด็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และย้ำจะอภิปรายแน่ปมของทักษิณ
แต่เมื่อมองไปยังคนให้สัมภาษณ์ ความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจจากสังคมก็หดหายไปเกินครึ่ง นี่คือสัจธรรมของพวกลิ่วล้อเผด็จการสืบทอดอำนาจที่กำลังจะอับแสงตามการเสื่อมอำนาจของผู้มีพระคุณ การขู่ว่าให้เศรษฐายืนระยะให้ได้ถึงวันที่ 25 มีนาคมนี้เสียก่อน ใครที่ได้ฟังต่างพากันหัวร่อ คนที่พูดน่าจะดูเงาหัวตัวเองเสียมากกว่า ส่วนที่มีการมองกันว่าผลงานของรัฐบาลผ่านมากว่า 6 เดือนยังไม่มีอะไรที่จะถือเป็นชิ้นโบว์แดงได้นั้น ให้จับตาดูการแถลงของเศรษฐาหลังกลับมาจากต่างประเทศ ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรมาโชว์ แต่แว่วมาว่าจะมีการขยับบางเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้ประชาชนฮือฮา และพร้อมจะร่วมมือ