XPG กับคุณหมอระเฑียร

วานนี้ หุ้น บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล หรือ XPG ร่วงค่อนข้างหนัก และเป็นการปรับลงต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน 4 วันที่ว่านี้หุ้นปรับลงมาแล้ว 7.35%


วานนี้ หุ้น บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล หรือ XPG ร่วงค่อนข้างหนัก

และเป็นการปรับลงต่อเนื่องวันที่ 4 ติดต่อกัน

4 วันที่ว่านี้หุ้นปรับลงมาแล้ว 7.35% โดยเมื่อวานนี้หนักสุด 3.82%

เปิดตลาดภาคเช้า ที่ 1.30 บาท ลดลงจากวันก่อนหน้าเพียง 0.01 บาท เท่านั้น ก่อนที่จะปรับลงอย่างรวดเร็ว และมาที่ระดับต่ำสุด 1.25 บาท ก่อนที่จะดีดขึ้นมา และมาเล่นรอบกันระหว่าง 1.26-1.28 บาท

หากดูจากกราฟจะพบว่า ราคาหุ้น XPG ได้ขยับขึ้นมาต่อเนื่อง จากช่วงปลายเดือน มกราคม 2567

ตอนนั้นราคาอยู่ประมาณ 1.02-1.05 บาท

หลังจากนั้นราคาหุ้นเป็นขาขึ้นมาตลอด

กระทั่งขึ้นมาที่จุดสูงสุดที่ 1.38 บาท เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยหุ้นมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1.40-1.41 บาท

หุ้นยังไม่ทันแตะแนวต้าน

แต่ราคากลับพลิกกลับหัวลงมาก่อน

แนวรับแรกคือ 1.28-1.26 บาท ซึ่งเมื่อวานนี้หลุดจากระดับนี้ลงมา

แนวรับถัดไปคือ 1.23-1.22 บาท

แต่ราคาหุ้นก็ปรับลงมาไม่ถึง

เพราะลงมาต่ำสุดเพียง 1.25 บาท เท่านั้น

ประเด็นน่าสนใจคือ หุ้นไม่ทันแตะแนวต้าน แต่ราคาพลิกกลับลงมาก่อน

ส่วนด้านขาลง หุ้นยังไม่ทันลงมาแตะแนวรับสำคัญ (1.23-1.22 บาท) แต่ราคากลับดีดกลับ หรือ “พักตัว” ก่อน

ว่ากันว่า ราคาหุ้น XPG ที่เคลื่อนไหวแบบนี้ อาจจะมีนัยฯ เพื่อ “สลัดเม่า” ก่อนจะพาขึ้นเป็นขาขึ้นรอบใหม่

เว้นแต่ราคาหลุด 1.23 บาทลงมา และมาหลุดที่ 1.18 บาทด้วยนั้น ก็อาจจะเป็นขาลง และราคาอาจจะลงมาเล่นในกรอบราคา 1.05-1.15 บาท

เมื่อดูจากกราฟ สัญญาณทางเทคนิค และ “แท็กติก” ของคนที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องหรือ “เจ้ามือ”

แล้วมามองพื้นฐานของบริษัทฯ และการเปิดตัว “ระเฑียร ศรีมงคล” อดีต CEO บมจ.บัตรกรุงไทย หรือ KTC ที่เข้ามานั่งบริหารเต็มตัวใน XPG พร้อมกับตำแหน่ง CEO

ราคาในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา เหมือนจะวิ่งสวนทางกัน

มีความเป็นไปได้สองกรณีคือ หลังจากเปิดตัวคุณหมอระเฑียร และแผนธุรกิจที่ชัดเจนของ XPG แล้ว

ราคาหุ้นที่ขึ้นมาจากระดับ 1.05 บาท มาที่ 1.38 บาทในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2567 ถึงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

อาจจะเกิดการ “ขายทำกำไร” ก็ได้

หรืออีกแนวทางหนึ่งคือ อาจจะกดราคาลงมาก่อน แล้วค่อย ๆ ดันราคาขึ้นรอบใหม่

แต่อย่างที่รับทราบกัน ก่อนดันราคารอบใหม่ (ไม่ว่ากับหุ้นตัวไหนก็ตาม)

สิ่งที่เจ้ามือต้องทำกันคือการ “สลัดเม่า”

เพื่อให้หุ้นเกิดความเบา และไม่มีแรงขายมากวนใจระหว่างทาง

มาดูกลุ่มผุ้ถือหุ้นใหญ่ที่น่าสนใจของ XPG

อันดับ 1 คือ  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,221,281,042 หุ้น คิดเป็น 13.03%

อันดับสอง คือ นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา จำนวน 859,041,035 หุ้น คิดเป็น 9.17%

อันดับสาม บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 842,919,621 หุ้น คิดเป็น 9.00%

และยังมี นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ จำนวน 292,807,776 หุ้น คิดเป็น 3.12%

รวมถึง น.ส.กมลกานต์ ศรีมงคล จำนวน 227,071,999 หุ้น คิดเป็น 2.42%

สำหรับ “กลุ่มแสนสิริ” กับ “วิริยะประกันภัย” นั้น ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสนิท หรือเป็น “พันธมิตร” ต่อกันมานานมาก เพราะในหุ้น SIRI เอง ก็มีวิริยะประกันภัยถือหุ้นอยู่ 7.25%

ส่วน “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” นักลงทุนจะรู้จักเขาในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของ KTC

และปัจจุบันเขาก็ยังคงถือหุ้น (KTC) อยู่

ส่วนนายชูชาติ ผู้ถือหุ้นใหญ่ กรรมการ-ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล MTC เข้ามาถือหุ้นใน XPG ตั้งแต่เริ่มต้นปรับโครงสร้างแล้ว และยังมีการซื้อเพิ่มในภายหลังอีก

เมื่อดูจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ดูแผนธุรกิจที่ประกาศออกมา

ส่วนตัวไม่เชื่อว่าราคาจะวกกลับมาเป็นขาลง

หรือมาย่ำอยู่เพียงระดับบาทกว่า ๆ เท่านั้น

Back to top button